วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาหารคลายเครียด3
ความเครียดถือเป็นตัวการให้เกิดโรคร้ายนับไม่ถ้วน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ สมุนไพรไทยที่ช่วยลดความเครียดและทำให้นอนหลับสบาย คือ ...
สายบัว ช่วยลดอาการเกร็งของลำไส้ และกระเพาะ ลดความเครียดทางสมอง

กะหล่ำปลี ช่วยลดความเครียด มีสารต้านทานมะเร็งในลำไส้

ขี้เหล็ก แก้นิ่วในไต ทำลายเชื้อมะเร็ง เป็นยานอนหลับชั้นดี

ใบบัวบก แก้ร้อนใน ทำให้ความจำดี ช่วยลดความเครียด



ฟ้าทะลายโจร แก้อาการปวดหัวแบบไม่มีสาเหตุ

มะนาว - มะกรูด ช่วยให้นอนหลับ บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย และพริกไทย ทำให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยลดเครียดได้ผลดี


เขียนโดย watcharee ที่ 23:38

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554



It doesn’t matter if you’ve failed dozens or even hundreds of times, because if you don’t give up, your success is inevitable. – Anonymous ข้อความนี้ต้องการจะบอกเราว่า มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยที่เราจะล้มเหลวสักกี่ครั้งก็ตาม ขอเพียงแต่เราไม่หยุด หรือเลิก เราก็จะพบกับความสำเร็จได้

percent of the shots you never take.’ – Wayne Gretzky ถ้าคุณมีเป้าหมายแต่ไม่เคยที่จะลงมือปฏิบัติตนไปสู่เป้าหมาย ก็เหมือนกับการที่เรามีเป้าแต่ไม่เคยเหนี่ยวไกยิ่งเป้าเลย แบบนี้ก็มีแต่พลาดเป้าแน่นอน เพราะเราไม่เคยยิงมันออกไปเลย ดังนั้นเมื่อมีเป้าหมายแล้ว ขอให้เรามุ่งมั่นตั้งใจและลงมือทำมันอย่างจริงจัง เพื่อให้เราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ เมื่อเรายิงแล้ว เรารู้ว่าพลาดเป้า เราก็จะสามารถพัฒนาปรับปรุงตนเอง เพื่อไม่ให้พลาดเป้าอีกในครั้งต่อไปครับ


The journey of a thousand miles must begin with a single step.’ – Lao Tzu การเดินทางไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็ตาม ล้วนเริ่มจากก้าวแรก ความสำเร็จก็เช่นกัน แม้ว่าเราจะตั้งเป้าไว้อย่างไรก็ตาม เราก็สามารถไปถึงได้ ขอเพียงให้เราเริ่มลงมือทำ ความสำเร็จก็จะมาหาเราได้สักวันหนึ่ง ขอเพียงมีความอดทน สม่ำเสมอ และไม่ล้มเลิกเท่านั้นครับYou miss 100

ความคิดของเรามักจะดึงดูดสิ่งที่เราคิดมาหาเราเสมอ


It’s your thinking that decides whether you’re going to succeed or fail.’ – Henry Ford ความคิดของเราเองนี่แหละครับที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวได้เลย ถ้าเราคิดว่าเราจะสำเร็จ เราทำได้ เราก็จะทำได้ แต่ถ้าเราคิดเสมอว่าเราทำไม่ได้ เรามีแต่ปัญหา เราก็จะเจอแต่ปัญหาครับ มีข้อพิสูจน์มาเยอะแล้วครับว่า ความคิดของเรามักจะดึงดูดสิ่งที่เราคิดมาหาเราเสมอ ดังนั้นคิดดีไว้จะดีกว่านะครับ เพราะความคิดดีๆ จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเราได้ครับ

คิดบวก เราเหลือ คิดเหนือ เราขาด"


Worrying is like a rocking chair. It gives you something to do but it doesn’t get you anywhere.’ – Van Wilder ความหมายก็คือ ความกังวัลที่เรามีอยู่ในจิตใจนั้นมันไม่ได้ช่วยให้เราทำอะไรได้ดีขึ้นเลย คนเราส่วนใหญ่มักจะกังวลมากกว่าที่ควรจะเป็นเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นความวิตกกังวลนั้นไม่ได้ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เลย มีแต่จะทำให้เราจมอยู่กับปัญหา และท้อแท้ลงไปอีก ดังนั้นจงกังวลแต่พองาม พอได้สติแล้วก็พยายามหาทางแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปจะดีกว่าเอาเวลามานั่งกังวล

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....
หากใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้" ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่" เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี



ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่างพินิจจะพบว่า ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน




ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

มองเป็นก็เห็นสุข




มองเป็นก็เห็นสุข
ลื๊อมีร่มไม๊...แค่คำนี้ นิสัยผมเปลี่ยนทันที



สมัยก่อน ผมเป็นคนที่จริงจังกับความรักมาก ทุ่มเทกับแฟน หรือสาวที่จีบแบบสุดๆ จีบก็จีบทีละคน รักใครรักจริง Take care กระจายไม่ได้กลัวตัวเองเหนื่อย ยอมประหยัดเงินสารพัด ทำงานพิเศษ ได้เงินมาเลี้ยงแฟน อะไรอย่างนั้น ฟังๆดู ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปอ่ะนะครับ แต่การเรียนก็ไม่ให้เสียนะครับ ผมก็ตั้งใจเรียนด้วย เพราะสัญญากับป๊าและม้า (พ่อกับแม่)ไว้ ว่าจะเอาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งมาให้ท่าน ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้จริงๆ [ เก่งไม๊เล่า ขออวดหน่อย :) ]
แต่ยังไงก็แล้วแต่ ด้วยความที่รักแฟนมาก แน่นอน เราย่อมมีเวลาให้แฟนอย่างที่สุด จนลืมนึกถึงคนที่รักเราและดูแลเรามาตลอดทั้งชีวิต อย่างป๊าและม้า หลายๆครั้งท่านทั้งสองก็ห่วงเรา คอยเตือนเรา เพราะคุยโทรศัพท์ก็เสร็จดึก วันธรรมดาเรียนเสร็จก็ต้องไปส่งบ้าน กลับบ้านดึกมาก ข้าวก็กินดึก กับข้าวที่ม้าทำไว้ให้ บางทีก็ไม่ได้กิน เพราะไปกินกับแฟนแล้ว วันเสาร์อาทิตย์ ก็ไปหาแฟน เก็บเงินไว้ซื้อของให้แฟน หายใจเข้าออกเป็นสาวคนนั้นเลยทีเดียว เวลามีให้แฟนมากกว่าที่มีให้ตัวเองและป๊าม้า หลายๆครั้ง ป๊าม้าคอยเตือน เพราะท่านห่วงเราว่าจะไม่ได้พักผ่อน กลัวเหนื่อย กลัวเสียการเรียน แต่เราก็อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ มีปากเสียงกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจไปก็คงไม่น้อยหล่ะ (รู้สึกผิดจริงๆ)
ทีนี้ แน่นอนว่า ความรักผม มันไม่ได้ยืนยาวหรอกครับ....และแล้ว มันมาถึงจุดสิ้นสุดของความรัก แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตด้วยเหมือนกัน....
....ช่วงใกล้ๆเลิกกับแฟน เพราะแฟนคนนี้ มีหนุ่มมาจีบใหม่ ซึ่งแน่นอน...ดีกว่าผมทุกอย่าง ยกเว้นหน้าตา 5555 (อันนี้ให้หลายๆคนตัดสินนะนั่น ไม่ได้คิดเองนะคร๊าบบบบบ).....แฟนเริ่มเปลี่ยนไป หงุดหงิดเราง่ายขึ้น ไม่คุยเหมือนเดิม ไม่ได้เที่ยวกันเหมือนเดิม แล้วยังไงดีหล่ะ เราก็เสียใจ หงุดหงิดเหมือนกัน อารมณ์แปรปรวน ว๊ากที่บ้านไปก็มีบ้าง เวลาคนที่บ้าน ป๊าม้า พี่น้องเตือนเรา ก็คนมันหงุดหงิดอ่ะนะ ทำไงได้
แล้ววันที่ทำให้ผมคิดได้ก็มาถึง
วันนั้นผมทำงานที่มหาลัยเสร็จค่ำมาก หน้าฝน แน่นอน ฝนตกหนัก...ระหว่างผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็คิดถึงแฟน (ที่กำลังจะเลิกกัน) ก็เลยโทรหา บทสนทนาคร่าวๆ:-

ผม: อยู่ไหนครับ ทำอะไรอยู่ ฝนตกหนักหรือเปล่าตรงนั้น
แฟน: กำลังกลับบ้าน ตก มีอะไรก็รีบๆพูด
ผม: มีร่มไม๊
แฟน: ไม่มี
ผม: แล้วทำยังไง เดี๋ยวตากฝน ไม่สบายนะ
แฟน: ไม่เป็นไร จัดการเองได้ โตแล้ว
ผม: แล้วกินอะไรหรือยัง
แฟน: ยัง ยังไม่หิว
ผม: กลับบ้านดีๆนะ ถ้าฝนตกหนัก หาที่หลบก่อน รอฝนซาแล้วค่อยกลับ ดูแลตัวเองด้วย เป็นห่วง
แฟน: (เริ่มหงุดหงิด) อืม รู้แล้ว ไม่มีอะไรใช่ไม๊ แค่นี้นะ !! ..... แล้วก็วางหูไป

ตอนนั้น ผมอยู่บนรถเมล์แล้วนะครับ หลังจากวางหูไป ผมเสียใจมาก เพราะว่าเราหวังดี ไม่คิดว่าจะทำให้รำคาญ....และแล้ว จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดก็มาแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังครับ......

ผม: ฮัลโหล
ป๊า: (เรียกชื่อผม) ลื๊ออยู่ไหนเนี่ย
ผม: อยู่บนรถเมล์ ป๊ามีอะไร กำลังกลับบ้าน
ป๊า: กินข้าวหรือยัง
ผม: ยังอ่ะ
ป๊า: เออๆ ที่บ้านอาม้าทำกับข้าวไว้แล้ว มี (บอกชื่อกับข้าว)
ผม: อืม
ป๊า: แถวบ้านฝนตกหนักนะ ลื๊อเอาร่มไปหรือเปล่าเนี่ย
ผม: ไม่มีอ่ะ ไม่ได้เอามา
ป๊า: อ้าว แล้วเดี๋ยวลงรถ จะทำไง จะตากฝนกลับบ้านเหรอ (จากป้ายรถเมล์ ผมต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงบ้าน)
ผม: อืมๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวลุยกลับบ้านไป แป๊ปเดียว ไม่เป็นไรหรอก
ป๊า: เออๆ เอางี๊ ลื๊อลงรถแล้วโทรหาป๊า เดี๋ยวป๊าเอาร่มไปรับ
ผม: ไม่เป็นไรป๊า เดี๋ยวเค้ากลับเอง (ผมใช้แทนตัวเองว่า “เค้า” กับป๊าและม้ามาตั้งแต่เด็กๆ...ดูเป็นลูกแหง่เนอะ ^^”)
ป๊า: เออๆ ลงรถแล้วโทรมาละกัน แค่นี้แหละ....วางหู

....สังเกตอะไรกันไม๊ครับ...

...บทสนทนาผมกับแฟน แทบจะเหมือนกับที่ป๊าพูดกับผมเลย...นั่นหล่ะครับจุดเปลี่ยน

...ในขณะที่เราห่วงใครบางคน ใครก็ไม่รู้ ผู้หญิงที่รู้จักมาไม่เกิน 2 ปี รัก และพยายามดูแลทุกอย่าง จะโดนด่าให้เจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนก็ทนเหลือเกิน จะห่วงเค้า แล้วเค้าเห็นค่าของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้
...แต่มีชายหญิงคู่หนึ่ง รักเรามากกกกกก มากจริงๆ ถึงแม้จะไม่เคยพูดว่ารักเลย แต่การแสดงออก มันใช่ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นอะไรที่พูดยาก.....เอ้ย เริ่มเป็นเพลง...เอาใหม่ๆ
...มีชายหญิงคู่หนึ่ง ก็พ่อแม่เรานี่หล่ะ รักเรามาก ไม่เคยหวังผลตอบแทน ห่วงเราได้ทุกสถานการณ์ ต่อให้เราเคยหงุดหงิด มีปากเสียงกับท่าน ถามว่าท่านโกรธไม๊....แหะๆ ก็คงมีบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้คิดอะไร และสุดท้ายความโกรธนั้นก็หาย และท่านก็ยังรัก หวังดี แล้วก็ห่วงเราเหมือนเดิม
แต่แปลก ทำไมเราต้องไปสนคนอื่น แคร์คนอื่น ไปเสียใจ เพราะคนอื่นไม่รัก โอย ฟูมฟายกันเลยทีเดียว ตอนเลิกกับแฟน
เราเสียใจให้กับคนที่เรารัก แล้วไม่รักแล้ว....แล้วรู้ไม๊ว่า
คนที่รักเราที่สุดในโลก พ่อแม่เรา เค้าเสียใจมากขนาดไหน ที่เห็นเราเสียใจ เห็นเราเป็นทุกข์
เราเคยคิดอย่างนี้กันบ้างหรือเปล่า
กับคนที่เรารัก เราซื้อของให้ มีเวลาให้ ดูแลสารพัด Take care สารพัด
กับคนที่รักเราที่สุดในโลก เราเคยซื้อของดีๆแพงๆให้บ้างไม๊ เคยพาท่านไปดูหนัง เคยเลี้ยงข้าวท่าน เคยดูแลท่านเหมือนนี่ทำกับแฟนไม๊
แปลกดีเนอะ....เราไปรัก แล้วก็ดูแลใครก็ไม่รู้ เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่นาน
แต่คนที่เราเห็นหน้ามาตั้งแต่ลืมตาดูโลกครั้งแรก ไม่เคยคิดจะดูแล

....นี่หล่ะครับ ความคิดที่ออกมาทั้งหมด หลังจากแค่ป๊าถามว่า.... แล้วลื๊อมีร่มไม๊
ตั้งแต่วันนั้น ผมเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยครับ ไม่สนคนอื่นแล้ว ถึงผมจะมีแฟนใหม่ ผมดูแลแฟนผม แต่แน่นอน ไม่เท่ากับที่ผมดูแลคนที่บ้าน
ผมบวชให้ป๊าให้ม้า ผมเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เพื่อป๊ากับม้า ---> ผมพาป๊า ม้า ไปกินข้าว กินอาหารในร้านอาหารนอกบ้านบ่อยขึ้น อยู่บ้านมากขึ้น
(แหงหล่ะสิ ก็ถึงตอนนี้ มันโสดนี่หว่า จะให้ไปเที่ยวที่ไหน) พาป๊าม้าไปทำบุญที่วัดบ่อยเท่าที่มีโอกาส
Jผมซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ป๊ากับม้า ทุกครั้งที่ได้มาทำงานหรือดูงานต่างประเทศ ถึงแม้บางที จะทำเป็นบ่นว่าซื้อมาทำไม แพงเปลืองตังค์ แต่...แหนะ อย่ามาแอ๊บ เห็นนะว่าแอบยิ้ม
และแน่นอนครับ ผมมีความสุขมากขึ้น มากขึ้นมากๆจริงๆ เพราะว่า
ผมเห็นคนสองคน ที่รักผมมากที่สุด และผมก็รักเค้าทั้งสองคนมากที่สุด มีความสุข
.......จบบริบูรณ์...

ขอขอบคุณทุกท่านที่อดทนอ่าน หวังว่าคงช่วยทำให้น้องๆเพื่อนๆหลายๆคน หันมารักพ่อแม่มากขึ้นนะ แล้วก็ทำใจได้เร็วขึ้น ถ้าผิดหวังจากคนรักมาอ่ะนะ..อย่าลืม
พ่อแม่มีไว้ให้รักให้ดูแลนะครับ ไม่ได้มีไว้ให้ขอเงินไปซื้อของ กับกินขนม :)