วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อคุณแม่ให้ลูก ๆ ไปซื้อน้ำปลา


ครอบครัวหนึ่งมีลูกสาววัยกำลังซน 3 คน ชื่อ นุ่ม,นิ่ม และนวล คราวหนึ่งแม่กำลังทำครัวอยู่ จึงให้นุ่มไปซื้อน้ำปลามา ๑ ขวด นุ่มรีบวิ่งไปซื้อทันที ขากลับเดินสะดุดหลุมหกล้ม ขวดน้ำปลาหลุดมือ นุ่มหยิบขวดน้ำปลาเดินกลับบ้าน สีหน้าเศร้าสร้อย บอกแม่ว่า “แย่จัง หนูทำน้ำปลาหกไปตั้งครึ่งขวด” อาทิตย์ต่อมาแม่ให้นิ่มไปซื้อน้ำมันมา ๑ ขวด นิ่มซื้อเสร็จ ขากลับเดินสะดุดหิน น้ำมันหกไปครึ่งขวด แต่เธอกลับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างยิ้ม แย้มว่า “เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำมันเหลือตั้งครึ่งขวดแน่ะ”

๒-๓ อาทิตย์ต่อมา ถึงเวรของนวลบ้าง เธอไปซื้อน้ำส้มสายชูกลับมาก็บอกแม่ว่า “เมื่อกี้ หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำส้มเหลือตั้งครึ่งขวด แต่หนูรับปากว่าต่อไปจะไม่เผลออีก” ว่าแล้วเธอก็กลับไปขุด เอาหินที่โผล่ตามทางเดินออกจนหมด รวมทั้งกลบหลุมที่อาจทำให้ใครต่อใครเดินสะดุดด้วย

ปัญหาที่ทั้ง 3 คน เจอนั้นเหมือน ๆ กัน แต่มุมมองต่อปัญหานั้นต่างกันอย่างมาก ส่งผลให้อารมณ์และความรู้สึกนั้นต่างกันด้วย อีกทั้งเมื่อเราพบกับปัญหาแล้วเรียนรู้และแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ก็จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ในครั้งต่อๆ ไป







It’s how you think about what happens to you.


It’s not what happens to you that determines your happiness.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ

It’s how you think about what happens to you.
แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

สร้างความสุข


ตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
2. ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และ
3. ต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

ห้องที่ชื่อว่าใจ


ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่าง
เปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย
เห็นด้วยหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ


มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปู
กับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่
ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อย
รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ


แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์
ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูก
ถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ


พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก
ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการ
เอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน
ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำ
คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดตัวเอง"


ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดตัวเอง"

ทุกวันนี้เราหลงทำงาน หาเงินเพื่อสนองกิเลสตัณหา ต้องทำงานไปจนแก่ น้อยคนนักที่มีโอกาสเกษียณก่อนกำหนด
ส่วนใหญ่มานึกได้อีกทีก็แก่เสียแล้ว เลยเพิ่งเข้าวัดทำบุญ ที่จริงไม่ต้องรอให้แก่

"หยุดคิด จึงคิดได้"

"เมื่อใดหยุดหา เืมื่อนั้นจะพบ"

สิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ"ขอบคุณสรรพสิ่ง"
"ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ

แต่ปาฏิหารย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน

กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ... เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆมีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะ !

เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตายหรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ

เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที

และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...
ให้เรารีบชื่นชมกับความ"ธรรมดา" ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า

สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล

เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ


คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน...แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน

จงมองดูความวิตกกังวลของตนเอง มองดูว่ามันทำให้เราเอาชนะปัญหาของเรา


ยุ่งยาก กับ เยือกเย็น
ในยามที่เราพบกับความยุ่งยาก ต้องพึ่งพาความเยือกเย็น
ค่อย ๆ ย้อนลงไปแยกแยะสาเหตุแห่งปัญหา ที่ทำให้เราเร่าร้อน!
เราจะเอาชนะความยุ่งยากของชีวิตได้ ด้วยการเอาชนะความวิตกกังวล
ที่เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน

จงมองดูความวิตกกังวลของตนเอง มองดูว่ามันทำให้เราเอาชนะปัญหาของเรา
หรือมันทำให้เราหมดพลัง และพ่ายแพ้
ปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความทุกข์ยากที่เราคิดว่ามันแสนสาหัส สำหรับเราในวันนี้ ในวันข้างหน้าเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย..

น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!


น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!
จิตที่..รู้เรื่องอะไร ? แล้วไม่ยอมปล่อย
ย่อม "ทุกข์" ฉันนั้น..

ธรรมแท้ ๆ ! เป็นกลาง ๆ ..
ใคร ? ปล่อยวางได้..ก็.."สบาย"
จงรักษาใจ..ให้เหมือน "นาฬิกา" ..
เพราะหน้าที่ของนาฬิกา...
คือ..การอยู่กับปัจจุบันขณะ..
ด้วยสัจจะ และความเที่ยงตรง..

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง








คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท

โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้นหรือว่ามันยาว?

โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว

โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ ทุกข์


ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ ที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่นโยม อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้ อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกดย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้ หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด ๑ ปีให้ผล บางชนิด ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เขาเอง

โยม อย่าลืมนะ หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา ธรรมะอย่างนี้ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้



วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง





กระจก.....ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด

จิตใจ......จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก

กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง

ดังนั้น......จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือหรืออยู่ในกระจก

สายฝน.....ในกระจก หาเปียกกระจกไม่

เปลวไฟ.....ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน

ทั้งนี้.........เพราะกระจกไม่ ได้ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ

ดัง นั้น......จงทำใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก อย่ายึดติด เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

๖๐ ข้อคิดไว้สอนตัวเอง


๖๐ ข้อคิดไว้สอนตัวเอง
๑. ลูกจงจำไว้ว่า… การไม่ต่อสู้ในบางกรณี กลับเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ กว่าการต่อสู้ อย่างเอาเป็นเอาตาย
๒. ลูกจงอย่าเลือกของที่ชอบ ด้วยความอยากของลูก
แต่จงเลือกด้วยสติปัญญา และพิจารณาถึงประโยชน์ และโทษของมันเสียก่อน
๓ .ลูกจงอย่าโกรธคนไม่ดี ที่จริงเขาก็อยากดีเหมือนกัน แต่เขาไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นความดี…อะไรคือไม่ดี
๔. ลูกจะตำหนิ ติเตียนใคร ก็จงดูตนเองเสียก่อน อย่าให้เขาย้อนว่าเราได้
๕. ลูกจะเห็นว่า ผู้มีสัมมาคารวะ จะพบแต่ความเจริญ การอ่อนน้อม เป็นคุณสมบัติของสุภาพบุรุษ การยกมือไหว้ผู้อื่นได้ คือการทำลาย ตัวกู-ของกู
๖. ลูกพ่อต้องเป็นคนแข็งแรง…ไม่แข็งกระด้าง ลูกพ่อต้องเป็นคนเรียบง่าย…ไม่มักง่าย ลูกพ่อต้องเป็นคนอ่อนโยน..ไม่อ่อนแอ
๗.ลูกของพ่อ..คล่องแคล่วว่องไว เป็นปัจจัยแห่งความก้าวหน้าของครอบครัว
๘. เงินทองที่ลูกมี ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป ปัญญาที่ลูกหาได้ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน
๙. ถ้าลูกทำเด่น จะถูกคนเขาเขม่นและสมน้ำหน้า ลูกจะพลาดท่าลงมา..เพราะ ความอยากเด่นอยกดัง
๑๐. ลูกจงจำไว้ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย พ่อ แม่ สุขใจ เมื่อพี่น้องรักกัน
๑๑ ลูกจงโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างฉลาดและสุขุม การพ่ายแพ้ด้วยศิลปะ ดีกว่าการชนะด้วยอารมณ์
๑๒ .ความกล้าหาญต้องประกอบด้วยสติปัญญา ถ้าลูกกล้าโดยไม่มีสติปัญญา เขาเรียกว่าคนบ้าบิ่น
๑๓. ลูกต้องทำทุกอย่างด้วยความสุจริต เมื่อสุจริต จิตผ่องใส เมื่อทุจริต จิตหมองไหม้
๑๔. ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ที่พ่อแม่จะให้แก่ลูก
ความรู้และความประพฤติดีเท่านั้น ที่พ่อแม่ควรมอบให้แก่ลูก…อันเป็นที่รัก
๑๕. ลูกหลีกทางให้เขา ก็คือหลีกทางให้เราหลุดพ้นจากอันตราย
ในที่สุดก็จะได้รับผลดีด้วยกัน ทั้งเขาและเรา
๑๖. ปลายทางสุดท้ายของความไม่พอ คือ…ความทุกข์
๑๗ .ลูกจงจำไว้ว่า… ผู้ที่ไม่มีใครให้อภัยผู้อื่น
คือผู้อ่อนแอทางจิตใจ การให้อภัยศัตรู คือการ สร้างมิตร
๑๘ ถ้าผู้อื่นหลอกเรา เรารู้ง่ายและแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าเราหลอกตัวลูกเอง รู้ยาก แก้ไขได้ยาก
๑๙. ลูกควรจำสิ่งที่ควรจำ ลืมสิ่งที่ควรลืม ทำสิ่งที่ควรทำ
และต้องรู้ว่า สิ่งใดควรทำก่อน สิ่งใดควรทำทีหลัง
๒๐. เมื่อลูกสังเกตดู จะพบว่า ภายหลังเสียงหัวเราะ จะมีน้ำตา
ภายหลังเสียน้ำตา จะเห็นแสงธรรม คือความจริงของชีวิต
๒๑. หกล้มเพราะก้าวเดินไปข้างหน้า ยังดีกว่าลูกยืนเต๊ะท่าอยู่กับที่
เพราะถ้าลูกยืนไม่ดี…ก็จักมีคนมาถีบให้ล้มอยู่ดี
๒๒. .ลูกจงหาความสุขกับปัจจุบัน อย่าใฝ่ฝันถึงอนาคต อย่าหมกอยู่กับอดีต จะทุกข์
๒๓. โชค…เข้าข้างผู้ที่มีความอ่อนน้อมเสมอ ถ้าลูกเป็นผู้น้อยที่นอบน้อมผู้ใหญ่ ใคร ๆ ก็รัก ถ้าลูเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจผู้น้อย ผู้น้อยก็มีความภักดี
๒๔. ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง ขอให้ลูกคิดอยู่เสมอว่า
ถ้ามีสิ่งใดในโลก ที่ผู้อื่นทำได้ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่เราจะทำไม่ได้
๒๕. ความโศกเศร้าเสียใจ มิได้ทำให้ใครได้รับประโยชน์อะไร
นอกจากทำให้ศัตรูของเราดีใจและ สมน้ำหน้า
๒๖. เมื่อพบภัยที่อยู่ข้างหน้า จงหนีเข้าหาพระดีกว่าหนีเข้าหาโจร
ซึ่งโจรจักฉกฉวยโอกาสเอาจากเราเสมอ …อย่างคาดไม่ถึง
๒๗. คนเรามีความโลภทุกคน ถ้าโลภมาก…ก็จะทุกข์มาก
ถ้าโลภน้อย…ก็จะทุกข์น้อย ถ้าไม่โลภ…ก็จะไม่ทุกข์
๒๘ .ถ้าลูกประพฤติดี ลูกก็จะพบกับคนประพฤติถ้าลูกประพฤติชั่ว ลูกก็จะพบกับคนประพฤติชั่ว ขอให้ลูกเลือกคบให้ถูกต้องเถิด ลูกจักเป็นคนที่โชคดี
๒๙ ลูกอย่ากลัวไปเลยว่า จะได้แต่งงานกับคนไม่ดี
ถ้าลูกไม่สูบ ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยว ลูกก็จะพบคู่ครองที่ไม่สูบ
ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยวเช่นกัน
๓๐ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ต้องการคำอ่อนหวาน ลูกก็เช่นกัน ควรพูดคำอ่อนหวานแก่ผู้อื่น เมื่อลูกอ่อนหวานแก่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะอ่อนหวานกับลูก
๓๑. ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมตัว เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าเสียคน
ผิดอะไรก็ผิดได้ แต่อย่าผิดศีลธรรม
๓๒. ลูกจงจำไว้ว่า… ศัตรูวันนี้ อาจเป็นมิตรในวันหน้า
เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรเขารุนแรงและเกินเลย
๓๓. ลูกจงสนุกกับการใช้เงิน และพร้อมกันนั้น
ลูกต้องสนุกกับการเก็บรักษาเงินด้วย และยิ่งกว่านั้น
ต้องสนุกกับการหาเงินอย่างไม่เป็นทุกข์ คือหาด้วยความถูกต้อง
๓๔. การกระทำของลูก บางครั้งยังไม่ถูกใจตนเอง แล้วจะให้คนอื่นทำถูกใจเราเสมอไป ได้อย่างไร คิดแค่นี้ลูกก็จะไม่โกรธคนอื่น
๓๕ .ถ้าลูกกล้าอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นผู้ฉลาด ถ้าลูกกล้าอย่างบ้าบิ่น ก็จะเป็นคนโง่ ขอให้ลูกจงกล้าหาญอย่างชาญฉลาด
๓๖. บาปและบุญทั้งปวงที่ลูกกำลังทำในขณะนี้ สักวันหนึ่งจักรวมตัวกันมาสนองแก่ลูก สิ่งที่ลูกได้รับอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลจากการกระทำของลูกทั้งสิ้น
๓๗. ลูกจงจำไว้ว่า… ธรรมชาติไม่เคยให้อภัยใคร
ใครทำอย่างใด ต้องได้รับอย่างนั้น แต่ธรรมชาติก็ให้โอกาสทุกคนเสมอ
แต่คนเรา…โดยส่วนมาก ไม่ค่อยยอมรับโอกาสนั้น
๓๘ เมื่อมีปัญหา แก้ให้ถูกจุด จักพ้นทุกข์เร็ว อย่าเป็นเช่นคุณยายแก่ ๆ
มองหาเข็มที่เสาไฟ เพราะมีแสงสว่าง แต่หาเท่าใดก็ไม่พบ
เพราะเหตุว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เข็มหายในบ้าน แล้วมาหานอกบ้าน
เพียงเพราะในบ้านไม่มีแสงไฟฟ้า… น่าขันไหมล่ะ
๓๙. ลูกจงจำไว้ว่า คนเห็นแก่เงิน คบยาก คนเห็นแก่งาน คบง่าย คนเห็นแก่ผู้อื่น คบสบาย
๔๐. ถ้าลูกปราถนาให้ผู้อื่นรัก ลูกต้องทำตัวให้น่ารัก ลูกจึงจะเป็นที่รักของผู้อื่น
๔๑. ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม สำคัญที่สุด…ลูกอย่าข้ามตัวเอง
๔๒. ผู้กล้าหาญ คือผู้ที่สามารถบังคับตัวเองได้ ถ้าลูกจักปลูกต้นไม้ ต้องบำรุงราก
แต่ถ้าจะปลูกจิตใจ ต้องบำรุงด้วยศีล ด้วยธรรม
๔๓. ลูกเกิดเป็นคนแล้ว ต้องพยายามทำดีที่สุด เมื่อทำดีที่สุดแล้ว นอกนั้นแล้วแต่ฟ้าลิขิต
โบราณว่า ลิขิตเป็นของฟ้า ( ผลของการกระทำ ) ชะตาเป็นของคน ( การกระทำของตัวเอง )
๔๔. ลูกควรจะยอมผิดใจกับคนสุภาพชน แต่อย่าผิดใจกับคนพาล
จะเดือดร้อนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
๔๕. การไม่ระวังการใช้จ่าย เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจทำให้ล่มจมได้
ดังเช่นเรือมีรูรั่วเล็กๆ อาจทำให้เรือใหญ่จมได้
๔๖. โรคภัยทางร่างกาย จะเข้ามาทางปาก ภัยพิบัติ ก็จะออกจากปากของเราเช่นกัน
เมื่อลูกจะพูดสิ่งใด จงพิจารณาให้ดีๆ
๔๗. การโกรธ เป็นวิสัยของปุถุชน การให้อภัย เป็นวิสัยของบัณฑิต
ลูกพ่อจะเป็นบัณฑิต จึงต้องฝึกการให้อภัย ด้วยความมีเมตตาเพราะเมตตาแก้ความโกรธได้
๔๘. การเดินทางหมื่นลี้ต้องมีก้าวแรก ยามลูกมีอำนาจ จงอย่าเหลิงอำนาจ
ยามลูกมีความสุขก็อย่างหลงระเริง ระวังความทุกข์จักตามมา
๔๙. ถ้าลูกให้เงินเพื่อนยืม…ระวัง จะเสียเงิน…จะเสียเพื่อน…จะเสียใจ
เพราะฉะนั้นลูกอย่าให้เงินใครยืม ถ้ามีก็ให้เขาไปเลย
๕๐. ถ้าลูกระแวงสงสัยใครแล้ว ลูกอย่าทำธุรกิจร่วมกัน
เพราะจะมีแต่ระแวงกัน การงานไม่ราบรื่น ความทุกข์จะเข้ามาในจิตใจลูก
๕๑. เรือที่ออกทะเล ปฏิเสธคลื่นลมไม่ได้ ฉันใด
ชีวิตของลูก ปฏิเสธอุปสรรคไม่ได้ ฉันนั้น
๕๒. ลูกสังเกตดูจักรู้ว่า ผู้เป็นคนดี มักอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้โง่เขลามักหยิ่งยโส ทะนงตน คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด หรือยากให้คนอื่นรู้ว่าฉลาด
จึงโอ้อวด คุยเบ่ง ทับถมคนอื่น ส่วนคนฉลาดมักไม่อวดตัว จักเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยโส ไม่โอหัง และชอบประกาศความดีของผู้อื่น
๕๓. แมลงผึ้ง ชอบของหอมของหวาน แมลงวัน ชอบของเหม็นของเน่าเสีย
ถ้าลูกชอบสิ่งที่ไม่ดี คบคนไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ไปสู่สถานที่ไม่ดีแล้ว
ลูกก็จะเปรียบเช่นแมลงวัน ซึ่งไม่มีใครชอบหรืออยากจะให้ความรัก
แต่ถ้าลูกคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และไปแต่เฉพาะที่ดี ลูกก็เป็นเช่นแมลงผึ้ง
คนดีใคร ๆ ก็อยากคบด้วย ถ้าลูกเป็นแมลงผึ้ง ลูกก็จะได้พบกับดอกไม้ ถ้าลูกเป็นแมลงวัน ลูกก็จะได้พบกับของเน่าเหม็น คำโบราณว่าไว้ ขี้เกียจ เป็นแมลงวัน ขยัน เป็นแมงผึ้ง
๕๔. ผู้ที่รู้จักประมาณตน เป็นคนฉลาด ลูกควรใช้จ่ายตามฐานะ
ลูกจักไม่ขัดสนตลอดไป
๕๕. ถ้าลูกมีความพากเพียรและถ่อมตนแล้ว ภายใต้ท้องฟ้า…ลูกของพ่อจักทำได้ทุกสิ่ง
ธรรมะสอนไว้ว่า คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

๕๖. ถ้าลูกทำงานด้วยความรีบร้อน ร้อนรน มักทำความผิดพลาด มาให้ลูกเสมอ
ลูกต้องทำด้วยความรวดเร็ว แบบมีสติ จึงจะประสบความสำเร็จได้
อย่างถูกต้องและราบรื่น
๕๗. การนินทาและว่าร้ายต่อผู้อื่น… มันเจ็บปวดมากว่ามีดที่กรีดเนื้อเขา
มากมายหลายเท่านัก เมื่อลูกเข้าใจอย่างนี้แล้ว อย่านินทา อย่าว่าร้ายผู้อื่นเลย
เพราะเมื่อเขาเจ็บปวดเพราะคำพูดของเราแล้ว เขาก็สามารถทำความผิดกับเราได้
เราก็เดือดร้อน
๕๘. คนขี้เกียจ มักอ้างว่า ยังไม่ต้องทำ เพราะเช้าไป เพราะเย็นไป
เพราะร้อนไป เพราะหนาวไป เพราะฝนตก เพราะแดดออก
ถ้าลูกอ้างอย่างนี้ จะทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ
๕๙. ในสมัยนี้ ใครก็ชอบแต่ของดี ๆ แต่ไม่รู้ว่า อย่างไรถึงจะดี
จึงขอเตือนว่า ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคิด ลูกต้องคิดแต่ดีดี
ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่พูด ลูกต้องพูดดีดี
ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่ทำ ลูกต้องทำดีดี ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคบคน ลูกต้องคบคบดีดี ลูกของพ่อ…ดีแต่จะไป ลูกต้องไปดีดี ลูกจง คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี
ไปสู่สถานที่ดีดี
๖๐. ถ้าลูกละเลยเรื่องเล็กน้อย กระทำผิดเพียงเล็กน้อยในปัจจุบัน
ลูกอาจต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวง ในภายหน้า คิดกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นคิดไม่ดีกับเรา ในวันหน้า ทำกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นกระทำต่อเราไม่ดี ในวันหน้า รังแกผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นรังแก ในวันหน้า โกงผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกง ในวันหน้า
โกหกผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกหกในวันหน้า
เหยียดหยามผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นเหยียดหยาม ในวันหน้า
โกรธผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่น ในวันหน้า ริษยา อาฆาตผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นริษยา อาฆาต ในวันหน้า ฆ่าผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นฆ่า ในวันหน้า ในทางตรงกันข้าม… ถ้าลูกรักและเมตตาผู้อื่น ในวันนี้
ลูกก็จักได้รับความรักและเมตตา ในวันข้างหน้า

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน





๐ คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน...แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน


๐ จงรักษาใจ..ให้เหมือน "นาฬิกา" ..
เพราะหน้าที่ของนาฬิกา...
คือ..การอยู่กับปัจจุบันขณะ..
ด้วยสัจจะ และความเที่ยงตรง..


๐ ๑ ปี เอาเหล็กมาขัดสนิมหนึ่งครั้ง ซ้ำยังไม่ขัดถึงที่สุด..
ไม่ทำถึงจุดที่จะไม่เกิดสนิมสืบต่อไป เหล็กจะวาวขึ้นมาได้อย่างไร??
การขัดเกลาตนของนักปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน..
และสนิมเหล็กเกิดจากเนื้อในเหล็ก กัดกร่อนทำลายเหล็ก ฉันใด..
สนิมใจเกิดจากเนื้อในใจ กัดกร่อนทำลายใจ ฉันนั้น..

๐ ธรรมแท้ ๆ ! เป็นกลาง ๆ ..
ใคร ? ปล่อยวางได้..ก็.."สบาย"


๐ ธรรมแท้ ๆ ! ไม่มี..สู้!..ไม่มี..หนี!! ;
เพียงแต่..ดู-รู้-ตรง "ปัจจุบัน" นี้
แล้วก็..ปล่อยไป..เท่านั้นเอง!


๐ น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!
จิตที่..รู้เรื่องอะไร ? แล้วไม่ยอมปล่อย
ย่อม "ทุกข์" ฉันนั้น..


๐ "การละบาป เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการทำบุญ
ถ้าทำบาปแลกบุญจะขาดทุนเรื่อยไป"


๐ "ใจจะสงบได้ ก็เพราะความเห็นที่ถูกต้อง"


๐ ยุ่งยาก กับ เยือกเย็น
ในยามที่เราพบกับความยุ่งยาก ต้องพึ่งพาความเยือกเย็น
ค่อย ๆ ย้อนลงไปแยกแยะสาเหตุแห่งปัญหา ที่ทำให้เราเร่าร้อน!
เราจะเอาชนะความยุ่งยากของชีวิตได้ ด้วยการเอาชนะความวิตกกังวล

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถือศีลกินเจ


คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ



"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน

จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุกๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น