วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก




อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
หลวงพ่อ ( พระโพธิญาณเถร) บอกว่า
"ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"
คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 %
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ

ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก
รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ ..... ไม่แน่
อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า ..... สักแต่ว่า ..... ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา ..... นั่นแหละ

เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

ระวังนะ
พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์
อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

ดูใจเรานั่นแหละ
พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัด -ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง
ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข

ทุก ๆ อย่างย่อมมีสองด้านเสมอ


ทุก ๆ อย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ คนเรา...มักมองอะไรอยู่ด้านเดียว เห็นเพียงทุกข์และความไม่พอใจที่อยู่ตรงหน้าตนเท่านั้น เอาอารมณ์ไปผูกติดกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ หากเรามองอะไรเพียงด้านเดียว จะไม่มีวันพบกับคำว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้... เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ย่อมมีสองด้านเสมอ ด้านมืดด้านสว่าง ด้านบวกด้านลบ แล้วแต่เราจะมองในด้านไหน เพียงเราทำความเข้าใจมัน มองทุกอย่างตามหลักความเป็นจริง ดั่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับสองด้านของชีวิตอย่างมีความสุข.

ครองตน ครองคน ครองงาน


ครองตน
ชีวิตรอความตาย เวลาที่เหลือช่วยคนให้พ้นทุกข์มากที่สุด จวบจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ครองคน
เคารพสมมุติบัญญัติ ไม่ทำตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน

ครองงาน
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีความชั่วของคน ทำในปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นผลของมันเอง

ธรรมะ
จิต ต้องหลุดพ้นออกมาจากสภาวะปรุงแต่งเสียก่อน จึงจะรู้ธรรมะได้ เมื่อรู้ธรรมะแล้วก็จะเข้าใจในความหมายของพระนิพพานได้แจ่มแจ้ง ไม่ต้องเชื่อใครอีกต่อไป ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเราก็คือ ตัวเราเองมิใช่ใครอื่น


ถ้าความรัก..ทำให้เราร้องไห้




ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก สำหรับคนบางคน
โดยเฉพาะคนที่มีเวลาดีๆ ที่ใช้กับคนรัก
ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนหวงแหน
ต้องระลึกไว้ในความทรงจำ ต้องถนอมดูแลให้ดี

หลายคนจึงไม่อาจตัดใจจากวันเก่าๆ ได้เสียที
เพราะว่ามีความสุขกับการได้คิดถึงอะไรดีๆ ที่ผ่านไป
โดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้อีก
หากจะต้องตัดใจลืม หรือเดินจากอดีตมาก็ไม่ได้อีก
เพราะเหตุผลที่ว่า "เสียดายเวลา" ที่คบกันมา

บางคนคบกันมานาน จนแทบจำไม่ได้ว่า . . .
เคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เพราะหลังๆ มาก็อยู่แต่กับความทุกข์
จนนึกภาพความสุขไม่ออก

แต่ที่ไม่กล้าเลิกเพราะยังคิดถึงวันเก่าๆ
แค่เสียดายเวลา ที่คบกันมาเนิ่นนาน
โดยไม่คิดเลยว่า ทุกๆ วันของวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป
ก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดาย
และ . . . เวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้นๆ

จริงๆ แล้ว วันคืนในอดีต
ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลย
นอกจากมีไว้ให้นึกถึง
อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้

เราจะไปหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับา
หรือจะไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็นปัจจุบัน
หรือหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม
จะยังไงก็แล้วแต่คือการหลอกตัวเองทั้งนั้น

ยอมรับเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว และจบไปแล้ว
ความทรงจำเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ 1 ปี 5 ปี หรือกี่สิบปี
ก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า . . .
หนึ่งวันข้างหน้าที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่
ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่

เมื่อคนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน
เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเองได้อยู่ในอนาคตที่ดี
เวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่น
ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วันแห่งการเริ่มต้น
1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งชีวิตให้ดีกว่าที่เป็น


"หากจะเสียดายเวลาน่ะ ไม่ต้องเสียดายเวลาที่คบกันมาหรอก
ให้เสียดายเวลาในวันข้างหน้า
ที่จะอดทนคบไปทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วจะดีกว่า
แล้วยังจะมาเสียดายอดีต . . .
นึกดูดีๆ ว่าเสียดายอนาคตดีกว่าไหม?"

"พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"


A lecturer was giving a lecture to his student on stress management.
ขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียนของเขาในหัวข้อการจัดการกับแรงกดดันและความเครียด

He raised a glass of water and asked the audience, "How heavy do you think this glass of water is?"
ครูได้หยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมาและถามนักเรียนว่า
"พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"

The students' answers ranged from 20g to 500gm.
คำตอบของนักเรียนมีตั้งแต่ 20 กรัมถึง 500 กรัม

"It does not matter on the absolute weight. It depends on how long you hold it. "
มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แท้จริงของแก้วว่าหนักเท่าไหร่
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอถือมันไว้นานเท่าใด

If I hold it for a minute, it is OK.
ถ้าครูถือมันไว้เพียงหนึ่งนาที ก็ไม่มีปัญหาอะไร

If I hold it for an hour, I will have an ache in my right arm.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งชั่วโมง แขนของครูก็จะปวด

If I hold it for a day, you will have to call an ambulance.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งวัน พวกเธอคงต้องเรียกรถพยาบาล ฮา...

It is the exact same weight, but the longer I hold it, the heavier it becomes."
แม้ที่จริงจะเป็นน้ำหนักเดียวกัน แต่ยิ่งฉันถือมันไว้นานเท่าไหร่
มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น"

"If we carry our burdens all the time, sooner or later, we will not be
able to carry on, the burden becoming increasingly heavier."
ถ้าเราแบกภาระ(ความทุกข์ ความหนักใจ ฯลฯ) ของเราไว้ตลอดเวลา ไม่ช้าก็เร็ว
ภาระนั้นจะยิ่งหนักขึ้นจนเราจะไม่สามารถจะแบกมันไว้ได้อีก

"What you have to do is to put the glass down, rest for a while before holding it up again."
ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือ วางแก้วนั้นลงซะ พักสักระยะ ก่อนจะถือมันใหม่อีกครั้ง

We have to put down the burden periodically, so that we can be refreshed
and are able to carry on.
เราจะต้องวางสิ่งเราแบกไว้ลงเป็นระยะ
เราจึงจะสามารถฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ และสามารถแบกมันได้อีกครั้ง

So before you return home from work tonight, put the burden of work down.
ดังนั้นก่อนเธอจะกลับบ้านในคืนนี้ จงวางภาระของเธอลง

Don't carry it back home. You can pick it up tomorrow.
อย่านำมันกลับไปบ้านด้วย เธอสามารถยกมันขึ้นมาใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้

Whatever burdens you are having now on your shoulders, let it down for a moment if you can.
ไม่ว่าจะเป็นภาระใดก็ตามที่เธอแบกอยู่ในตอนนี้ วางมันลงซะสักพัก ถ้าเธอทำได้

Pick it up again later when you have rested...
ค่อยยกมันขึ้นมาใหม่เมื่อเธอได้พักแล้ว

Rest and relax.
ขอให้ผ่อนคลายและพักผ่อน

Life is short, enjoy it!!
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุขกับมัน


โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก


1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข เมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือว่า "โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม"

บางครั้ง


บางครั้ง ...สิ่งที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่เราคิดว่าไว้ใจได้มากที่สุด แต่กลับทำลายเราได้มากที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่คิดว่าทำลายเรามากที่สุด กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราไว้ใจได้มากที่สุด


- - - - - - - - -


บางครั้ง ...สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ สิ่งที่ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

บางครั้ง ...สิ่งที่คิดว่าง่ายที่สุด แต่มันอาจจะยาก จนเราทำใจลำบาก

บางครั้ง ...เราอยู่ในโลกแคบจนลืมมองถึงโลกกว้าง

บางครั้ง ...ปัญหาแค่ปลายนิ้วก้อย แต่กลับทำให้มันเป็นฝ่ามือ

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ


โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย

อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา

พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง

อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้

ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง



เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน


เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป

เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ความคิดแบบ "ขยะ"


อาตมาว่า ความคิดส่วนใหญ่ของพวกเราที่เกิดขึ้นขอโทษทีเถิดนะ... ยังเป็น
ความคิดที่เรียกว่า ความคิดแบบ "ขยะ"เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปด้วยกิเลสต่าง ๆ
ไม่มีแก่นสารสาระ

เรารู้จักคิดได้ เราก็ต้องรู้จักระงับความคิดได้นะ อย่าให้มันมาเป็นนายเรา
บางคนทำงานมาทั้งวัน เลิกงานแล้ว แต่ใจก็ยังไม่ยอมวางงานกลับมาบ้านก็ยังเก็บ
มานั่งคิดนอนคิดต่ออยู่อีกไม่รู้จบ เลิกงานแล้ว เราก็ควรต้องเลิกคิดเรื่องงานได้
มีอะไรพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่ คิดกันใหม่ต่อวันรุ่งขึ้น


ต้นไม้กับไม้ขีดไฟ


ทุกๆอย่างในโลก มีแง่มุมมากมายให้ค้นหา
ของสิ่งเดียวกันสามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษ
ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นผู้ใช้...และใช้อย่างไร
หลายครั้งที่เราพบว่า
ขณะที่เรากำลัง ส ร้า ง อะไรสักอย่างอยู่นั้น
กลับเป็นการ ทำ ลา ย อะไรอีกหลายอย่าง

ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเอาอะไรไปแลก
บางครั้งก็คุ้มค่า...กับการยอมเสียอะไรสักอย่าง
เพื่อจะได้อะไรอีกอย่างกลับมา
แต่ก็มีหลายครั้ง...ที่ลืมนึกไปว่า
ของที่ได้กลับมาไม่คุ้มค่าเท่ากับของที่เสียไป"


ขณะที่เราเดินเที่ยวอยู่ในศูนย์การค้า
เราก็จะเสียเวลาที่จะได้อ่านหนังสือเล่มโปรดที่อ่านค้างไว้
เด็กวัยรุ่นที่นั่งพับนก จะต้องฉีกกระดาษนับร้อยชิ้น
ศิลปินที่โด่งดังบนเวที...กำลังทิ้งคนที่รักไว้ที่บ้าน
ไม่มีใครบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้
เป็นคำถามที่ไม่ต้องตอบก็ได้...แค่เอาไว้นึกดูเล่นๆ

ถ้ารู้ว่าวันหนึ่งหนังสือเล่มโปรดเล่มนั้นจะหายไป
เราจะไปศูนย์การค้าอยู่ไหม
ถ้าต้องเขียนจดหมายสำคัยให้กับใครสักคน
เราจะฉีกระดาษเพื่อพับนกหรือเปล่า
ถ้าคืนหนึ่งกลับมาบ้านแล้วพบว่า
คนที่เรารัก...ไม่ได้อยู่เพื่อให้เรารักอีกต่อไป
เรายังจะออกจากบ้านไปอยู่ไหม
ความสำคัญและความจำเป็นของคนไม่เท่ากันก็จริง
แต่การเสียไปเพื่อได้มานั้น
จะต้องอยู่บนความรอบคอบ
และคิดมาอย่างดีแล้วทั้งสองด้าน



ต้นไม้ต้นหนึ่งอาจสร้างไม้ขีดได้นับร้อยล้านก้าน
แต่ไม้ขีดก้านเดียว
อาจทำลายต้นไม้นับร้อยล้านต้น

ไม่มีใครคิดแทนใครได้
จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า...
เราควรเสียอะไรไป เพื่อได้อะไรมา
และเราควรเป็น ต้นไม้ หรือ ไม้ขีดไฟ

ที่มา...Yenta4.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มีความสุขจากการได้มา


คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่า
ความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรา
มักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับ
ของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็
น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็
กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึง
ต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่า
เดิม
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะ
ยุ่งยากน้อยลง
ความสุขจากการ ไม่มี
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้
และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่าง
แท้จริง
พระไพศาล วิสาโล