วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คุณค่าของคนเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสายตาของคนอื่น


คุณค่าของคนเราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสายตาของคนอื่น เขากล่าวหาในสิ่งที่ไม่จิรง คุณค่าของเราก็ยังมีเหมือนเดิม เป็นสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่ คนอื่นจะเห็นหรือไม่เห็น เป็นเรื่องของเขา

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความรู้สึกในการพูดที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น

ความรู้สึกในการพูดที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น


เรื่องด่วน, ให้ค่อยๆพูด
เรื่องใหญ่, พูดให้ชัดเจน ชัดถ้อยชัดคำ
เรื่องเล็ก, พูดให้เป็นเรื่องตลก


สิ่งที่ไม่แน่ใจ, ให้ระวังที่การพูด
เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น, ไม่ต้องไปพูด
เรื่องที่ทำไม่ได้, ไม่ต้องพูด


คำพูดที่ทำร้ายคนอื่น, ไม่ควรพูด
เรื่องน่าเกลียดชัง, ให้พูดถึงเรื่องอย่าพูดถึงคน
เรื่องน่ายินดี, ให้ดูโอกาสก่อนที่จะพูด


เรื่องที่ทำร้ายจิตใจ, ไม่ควรพูดกับใคร
เรื่องของคนอื่น, ให้พูดอย่างระวัง
เรื่องของตัวเอง, ฟังหัวใจของตัวเองด้วยว่าพูดว่าอะไร


เรื่องของปัจจุบัน, ทำเสร็จแล้วค่อยพูด
เรื่องของอนาคต, ถึงเวลาแล้วค่อยพูด

ปรับความคิด เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ พร้อมความมั่นใจ

ปรับความคิด เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ พร้อมความมั่นใจ
1. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง ให้หากำลังใจจากเพื่อน หรือแรงบันดาลใจจากบุคคลในอุดมคติที่คุณชื่นชม ในการที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต
2. คิดบวกหรือมองโลกในแง่ดี ย่อมมีโอกาสดีกว่าคนอื่นเสมอ โดยคิดว่าการเปลี่ยนตัวเองเป็นโอกาส โอกาสที่คุณจะได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ และอาจค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่ารอคุณอยู่ข้างหน้า


3. ค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ จริงๆ จังๆ สักทีแล้ว สร้างอะไรๆ ให้ชีวิต โดยสิ่งนั้นอาจเป็นจุดหมายในชีวิตหรือสิ่งที่คุณชอบก็ได้
4. สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ปรับรูปลักษณ์และบุคลิกภาพ ให้เป็นสาวรูปร่างสมส่วน และใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น โดยเริ่มวางแผนการกินอาหารใให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทานผักและผลไม้เป็นประจำไขมันต่ำ ออกกำลังกาย จะทำให้คุณมั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ


5. ลบอดีต คิดถึงปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก ที่เราสามารถเลือกและทำให้ดีที่สุดได้ การมองไปข้างหน้า มองไปยังเป้าหมายในการดำเนินชีวิตให้ชัดๆ ย่อมดีกว่า ที่จะมานั่งเสียดายกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วค่ะ
6. ลงมือทำทันที เมื่อปรับตัว ปรับใจ อย่าปล่อยให้เสียเวลาอีกต่อไป


7.จัดสรรเวลา แบ่งเวลาของคุณตาม “กฎ 80-20” กล่าวคือ เราจะแบ่งเวลาให้สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราที่ 20% และอีก 80% ให้เวลากับสิ่งสำคัญที่รองๆ ลงไป แล้วคุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของการบริหารเวลาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
8. เปิดใจรับรู้สิ่งใหม่ ด้วยใจปราศจากอคติ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องในโลกใบนี้ที่เรายังไม่รู้ บางทีสิ่งเหล่านั้นอาจนำพาโอกาสดีๆ ในอนาคตมาให้คุณก็เป็นได้


ขอ เพียงตั้งใจจริง เชื่อว่าคุณต้องสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ และทำในสิ่งที่คุณคิดฝันไว้ แถมไปถึงเป้าหมายในชีวิตที่อยากเป็นได้อย่างแน่นอนค่ะ





วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มองเห็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตแต่ละวัน

เพราะความสุขของคนเราขึ้นอยู่กับมุมมองของการใช้ชีวิต
หากมัวแต่มองชีวิตเฉพาะในส่วนที่ผิดพลาดล้มเหลว
ชีวิตก็คงไร้ซึ่งความสุขอยู่ไม่จบไม่สิ้น แต่กลับกัน
ถ้าหากคนเรามองชีวิตในด้านบวก
และมองเห็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตแต่ละวัน

แล้วเลือกที่จะมองข้ามส่วนที่ผิดพลาดล้มเหลวไปล่ะก็
ชีวิตของคนเราก็คงจะมีคุณค่ามีความสุขมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

ขอเน้นไปที่การใช้ชีวิตบนเส้นทางของความฝัน
เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลาย ๆ คนที่ชีวิตไม่ราบเรียบ ล้มลุกคลุกคลาน
และกำลังท้อแท้บนเส้นทางความฝันของตัวเอง ให้ได้มองชีวิตในแง่บวกมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ

แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที

ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองชอบ ก็ถือว่าสิ่งนั้นดี หรือถ้าไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่ดีเสมอไป ดังนั้น อย่าเอาความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบมาตัดสินว่า เขา/เธอ ดีหรือไม่ดี


ควรลดความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เพราะมันเป็นความผิดของเขา อย่าเอามาเป็นความผิดใจ หรือทำลายใจของเรา แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที เพราะสมมติว่า เขา หรือเธอทำแก้วแตกโดยความประมาท ถ้ายิ่งโกรธ ใจก็จะเป็นทุกข์ตามไปด้วย

ควรตั้งสติ หยุดคิดก่อน และให้คิดทวนกระแส อย่าคิดตามอารมณ์ เช่น ไม่ควรคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะถ้ายิ่งคิด ก็จะเกิดการปรุงแต่ง จนเกิดภาพ เกิดชาติ และเกิดอัตตาตัวตนได้

“เมื่อรู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับ และอย่าโกรธตัวเองในทุกสถานการณ์ สอดรับกับที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า ความโกรธ เหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กิน คนทำ (คนโกรธ) ก็ต้องกินเอง”

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คนเราเสียใจกับเรื่องอะไรก่อนที่จะตาย

หนังสือขายดีใน Amazon เล่มหนึ่ง ชื่อว่า “The Top Five Regrets of the Dying” เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นคนดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุยและรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นหลักๆ ดังต่อไปนี้



ประเด็นแรก พวกเขาน่าจะใช้ชีวิตตามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง มากกว่าตามความคาดหวังของคนอื่น (I wish I’d had the courage to live a life true to myself, not the life others expected of me.)

เกือบทุกคนที่กำลังจะเสียชีวิตจะพูดถึงประเด็นนี้ เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าชีวิตได้ล่วงเลยมาจนถึงขั้นนี้แล้ว และย้อนกลับไปมองอดีต เขาจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าอะไรที่อยากทำ อะไรที่ได้ทำ และอะไรที่ยังไม่ได้ทำ

กว่าพวกเขาจะรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรจะเดินตามความฝันของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็แค่พยายาม มันก็สายเกินไป สุขภาพของพวกเขาเอาอิสรภาพในการตัดสินใจทำไปจากพวกเขาแล้ว และก็ไม่มีวันจะคืนให้เขาอีกต่อไป


ประเด็นที่สอง พวกเขาจะไม่ทำงานหนัก (I wish I didn’t work so hard.)

งานหนักที่พวกเขาเคยรู้สึกว่าไม่ทำไม่ได้นั้น พาพวกเขาออกห่างจากชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต พวกเขาไขว่คว้าและวิ่งตามแต่เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือแม้กระทั่งการยอมรับจากคนที่อยู่นอกวงกลมของชีวิต โดยที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตัวเองทำอย่างนั้น

พวกเขาคิดว่าพวกเขาน่าจะมีตารางเวลาที่ดี แสวงหาเงินทอง ชื่อเสียง หรือเกียรติยศเท่าที่พอเพียง และแบ่งเวลาไปให้กับชีวิตส่วนตัว ลูกๆ ครอบครัว และคนสำคัญของชีวิต เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาหมดลมหายใจ จะไม่มีอะไรที่ติดตัวพวกเขาไปเลยสักอย่างเดียว



ประเด็นที่สาม พวกเขาน่าจะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ (I wish I’d had the courage to express my feelings.)

คนจำนวนมากเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ข้างใน เพราะเกรงใจ เพราะกลัวคนจะว่า เพราะกลัวจะไปขัดใจคนอื่น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเครียด และความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองในภายหลัง นอกจากนี้ ความต้องการแสดงความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มีเฉพาะด้านลบเท่านั้น พวกเขายังไม่แทบจะไม่ได้แสดงความรู้สึกดีดีออกไปให้บางคนที่ได้รับรู้ในสถานการณ์นั้นๆ เมื่อเวลาผ่านมา จนถึงที่พวกเขากำลังจะเสียชีวิต หลายคนก็เสียชีวิตไปก่อนเขา และหลายครั้งมันก็เลยสถานการณ์นั้นๆ มานานแล้ว

หากพวกเขาได้แสดงความต้องการออกไปอย่างที่ตัวเองรู้สึก ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีนั้น จะทำให้พวกเขาไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ รู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง



ประเด็นที่สี่ พวกเขาจะอยู่กับเพื่อนเก่าๆ ให้นานกว่านี้ (I wish I had stayed in touch with my friends.)

บ่อยครั้งที่พวกเขารับรู้ถึงความสุขที่แท้จริงจากการได้อยู่กับเพื่อนเก่าๆ ก็ต่อเมื่อตัวเขาเองกำลังจะเสียชีวิตลง หรือเพื่อนๆ ของเขาเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ผ่านมา พวกเขาก็ห่างเหินจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันมากๆ ไปเป็นปีๆ และเมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต พวกเขาก็รู้สึกเสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านมา

มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาที่ชีวิตอันยุ่งเหยิงจะพาเราออกจากเพื่อนๆ แต่เมื่อเรากำลังจะเสียชีวิตลง พวกเขากลับต้องการเพื่อนๆ พูดคุย เห็นหน้า ดูหนังด้วยกัน ไปเที่ยวกัน มากกว่าเรื่องอื่นๆ เสียอีก



ประเด็นที่ห้า พวกเขาน่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขมากกว่านี้ (I wish that I had let myself be happier.)

เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่กำลังจะเสียชีวิตกลับตระหนักว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ตัวเราเอง พวกเขาดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบซ้ำๆ แล้วก็หลอกตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็ไม่อยากจะลำบากต้องเปลี่ยนแปลงอะไร

เมื่อพวกเขากำลังจะเสียชีวิต และย้อนเวลากลับไปนึกถึง พวกเขารู้สึกว่าความสุขในชีวิตนั้น เกิดจากสิ่งที่เขาเลือก อะไรก็ตามที่ทำอยู่ซ้ำๆ จะไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตมากนัก แต่จุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เป็นไปตามความต้องการของตนเองนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว มีความหมายกับชีวิตมากกว่านัก

***



หลายคนอาจจะสงสัยว่า [เสด-ถะ-สาด].com ได้บอกไว้ว่าเดือนนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ทำไมจึงเป็นบทความนี้ แต่เมื่อเพื่อนๆ ที่ได้อ่านจบแล้ว ก็คงจะได้เห็นคุณค่าของความรักมากขึ้น ทั้งความรักที่มีต่อชีวิตตนเอง รักครอบครัว รักเพื่อน และคนรอบข้าง

ขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ตระหนักกับทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปนะครับ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขาเหล่านี้ เราจะได้ไม่เสียใจกับช่วงเวลาที่ผ่านไป ขอเป็นกำลังใจให้กับความรักของทุกๆ คนครับ ^^

***************************

คนเรารู้สึก”เสียใจ”กับเรื่องอะไรบ้าง ก่อนเสียชีวิต?

[เสด-ถะ-สาด].com

ที่มา : http://setthasat.com/2012/02/16/the-...-of-the-dying/

ขอบคุณแหล่งข้อมูลครับ
ผมว่าจุดเริ่มต้นของคนเราเริ่มจาก"ทัศนคติ"จากสิ่งนั้นๆก่อน มันจึงจะเกิดแรงบรรดาลใจให้ไปถึงเป้าหมาย ถ้า"ทัศนคติ"คุณผิด มันก็จะผิดเกือบทั้งหมด