วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้..........


........ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้..........
.......อาจจะมีคนชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
...............แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............
.............. มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100...........

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป


สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความส ุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

อีเมล์ยอดนิยมของผู้หญิงในรอบปี


A man was sick and tired of going to work every day while his wife stayed home...
ชายคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการที่ต้องไปทำงานทุกวันในขณะที่ภรรยาของเขาได้อยู่บ้าน
He wanted her to see what he went through so he prayed:
เขาต้องการให้ภรรยารับรู้สิ่งที่เขาเจอะเจอจึงได้อธิษฐานว่า
'Dear Lord:
โอ้ พระผู้เป็นเจ้า
I go to work every day and put in 8 hours while my wife merely stays at home.
ผมไปทำงานทุกวัน ๆ ละ 8 ชม ในขณะที่ภรรยาผมได้อยู่บ้านอย่างสุขสบาย
I want her to know what I go through.
ผมต้องการให้หล่อนได้รับรู้ว่าผมต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
So, please allow her body to switch with mine for a day.
Amen!'
ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาตให้ร่างกายของหล่อนสลับร่างกับของผมสักวันหนึ่งเถิด เอเมน
God, in his infinite wisdom, granted the man's wish.
พระองค์ผู้มีพระปัญญาเป็นเลิศได้อนุมัติตามที่ชายคนนั้นมีความประสงค์
The next morning, sure enough, the man awoke as a woman...
อย่างแน่นอนที่สุด เช้าวันต่อมา ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาในสภาพผู้หญิง
He arose, cooked breakfast for his mate,
เขาลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้คู่ชีวิตของเขา
Awakened the kids,
ปลุกลูก ๆ
Set out their school clothes,
จัดเตรียมชุดนักเรียน
Fed them breakfast,
ป้อนอาหารเช้า
Packed their lunches,
ห่อข้าวกลางวัน
Drove them to school,
ขับรถไปส่งที่โรงเรียน
Came home and picked up the dry cleaning,
กลับมาบ้านและเอาเสื้อผ้าที่จะส่งซักแห้ง
Took it to the cleaners
จัดส่งไปที่ร้านซักผ้า
Went grocery shopping,
ไปร้านขายของชำ
Then drove home to put away the groceries.
ขับรถเอาของชำที่ซื้อมาไปเก็บที่บ้าน
He cleaned the cat's litter box and bathed the dog.
เขาล้างกล่องใส่อาหารแมวและอาบน้ำสุนัข
Then, it was already 1P.M.
กระทั่งเสร็จก็ปาเข้าบ่ายโมงแล้ว
And he hurried to make the beds, Do the laundry, vacuum, Dust, sweep and mop the kitchen floor.
และเขาต้องรีบจัดเตียง ซักผ้า ดูดฝุ่น กวาดและถูกพื้นห้องครัว
Ran to the school to pick up the kids and got into an argument with them on the way home.
รีบบึ่งไปโรงเรียนรับลูกและโต้เถียงกับพวกเขาระหว่างทางกลับบ้าน
Set out milk and cookies and got the kids organized to do their homework.
เตรียมนมและคุ้กกี้ และจัดการให้เด็ก ๆ ทำการบ้าน
Then, set up the ironing board and watched TV while he did the ironing.
ตั้งโต๊ะรีดผ้าและดูทีวีขณะที่เขากำลังรีดผ้า
At 4:30 he began peeling potatoes and washing vegetables for salad, breaded the pork chops and snapped fresh beans for supper.
16.30 น เขาเริ่มปอกมันฝรั่งและล้างผักทำสลัด เตรียมเนื้อสัตว์และถั่วสำหรับอาหารค่ำ

After supper, he cleaned the kitchen, ran the dishwasher, folded laundry, bathed the kids, and put them to bed.
At 09 P.M.
หลังอาหารค่ำ เขาล้างครัว เปิดเครื่องล้างจาน พับเสื้อผ้า อาบน้ำลูก ๆ และส่งพวกเขาเข้านอน
He was exhausted and, though his daily chores weren't finished, he went to bed where he was expected to make love, which he managed to get through without complaint.
เขารู้สึกอ่อนเพลียและแม้กระนั้นงานบ้านประจำวันก็ยังไม่เสร็จ เขาจึงเข้านอน(ขอไม่แปลต่อนะคะเพราะไม่เหมาะสำหรับเด็ก)
The next morning, he awoke and immediately knelt by the bed and said: - ‘Lord, I don't know what I was thinking. I was so wrong to envy my wife's being able to stay home all day.
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นและคุกเข่าข้างเตียงในทันที และกล่าวว่าโอ้พระเจ้า ผมไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเข้าใจผิดมากมายที่อิจฉาภรรยาของผมที่หล่อนสามารถอยู่บ้านได้ทั้งวัน
Please, oh! Oh! Please, let us trade back. Amen!'
ได้โปรดเถิด ได้โปรดให้เราได้กลับสู่สภาพเดิมด้วยเถิด เอเมน
The Lord, in his infinite wisdom, replied:
พระองค์ผู้มีพระปัญญาล้ำเลิศกล่าวตอบว่า
'My son, I feel you have learned your lesson and I will be happy to change things back to the way they were.
ลูกของเรา เรารู้สึกว่าเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเราก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้กลับสู่สภาพเดิม
You'll just have to wait nine months, though.
แม้กระนั้น เจ้าจะต้องรออีก 9 เดือน
You got pregnant last night.'
เจ้าตั้งครรภ์เมื่อคืนนี้

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

Nice to read

ความสุขที่ถูกมองข้าม
(พระไพศาล วิสาโล)



คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร
ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะ
ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมาก
ขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกัน
ผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ
เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์
หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า
"ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายัง
รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมี
ความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง"
เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ใน
ที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น


ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐี
แสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุข
เพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะ
ชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่
อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อย
ได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์
จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาด
นั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถาม
ตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่
แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มี
อยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่
มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ใน
ทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น
บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัว
หลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้


อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุข
ได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้
จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้ว
นับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่
ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึก
ปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่า
ความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรา
มักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน
แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่
เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไป
คาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและ
คาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่า
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับ


ของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็
น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็
กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึง
ต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่า
เดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่า
ชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหา
เงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่
ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมา
แย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึก
คุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อัน
ไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับ
การตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว
มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี



ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะ
ยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่ง
ที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมอง
ออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา
ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่
ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับ
การชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึง
เป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจ
ในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย
เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนัง
โฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่
มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก
พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์
เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธา
หรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำ
ได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้าม


สะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็
คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่า
ชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึง
คายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือ
เมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบ
อยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว
เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามี
ความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรา
มีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ
ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุข
ให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และ
จัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหา
ความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหา
ความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับ
ความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และ
สุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย


จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้
และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่าง
แท้จริง



พระไพศาล วิสาโล