วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อคุณแม่ให้ลูก ๆ ไปซื้อน้ำปลา


ครอบครัวหนึ่งมีลูกสาววัยกำลังซน 3 คน ชื่อ นุ่ม,นิ่ม และนวล คราวหนึ่งแม่กำลังทำครัวอยู่ จึงให้นุ่มไปซื้อน้ำปลามา ๑ ขวด นุ่มรีบวิ่งไปซื้อทันที ขากลับเดินสะดุดหลุมหกล้ม ขวดน้ำปลาหลุดมือ นุ่มหยิบขวดน้ำปลาเดินกลับบ้าน สีหน้าเศร้าสร้อย บอกแม่ว่า “แย่จัง หนูทำน้ำปลาหกไปตั้งครึ่งขวด” อาทิตย์ต่อมาแม่ให้นิ่มไปซื้อน้ำมันมา ๑ ขวด นิ่มซื้อเสร็จ ขากลับเดินสะดุดหิน น้ำมันหกไปครึ่งขวด แต่เธอกลับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างยิ้ม แย้มว่า “เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำมันเหลือตั้งครึ่งขวดแน่ะ”

๒-๓ อาทิตย์ต่อมา ถึงเวรของนวลบ้าง เธอไปซื้อน้ำส้มสายชูกลับมาก็บอกแม่ว่า “เมื่อกี้ หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำส้มเหลือตั้งครึ่งขวด แต่หนูรับปากว่าต่อไปจะไม่เผลออีก” ว่าแล้วเธอก็กลับไปขุด เอาหินที่โผล่ตามทางเดินออกจนหมด รวมทั้งกลบหลุมที่อาจทำให้ใครต่อใครเดินสะดุดด้วย

ปัญหาที่ทั้ง 3 คน เจอนั้นเหมือน ๆ กัน แต่มุมมองต่อปัญหานั้นต่างกันอย่างมาก ส่งผลให้อารมณ์และความรู้สึกนั้นต่างกันด้วย อีกทั้งเมื่อเราพบกับปัญหาแล้วเรียนรู้และแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ก็จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้ในครั้งต่อๆ ไป







It’s how you think about what happens to you.


It’s not what happens to you that determines your happiness.
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ

It’s how you think about what happens to you.
แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

สร้างความสุข


ตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
2. ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และ
3. ต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

ห้องที่ชื่อว่าใจ


ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่าง
เปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี
ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน
เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย
เห็นด้วยหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้

การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ


มีเด็กน้อยคนหนึ่งอารมณ์ไม่ค่อยจะดีพ่อของเขาจึงให้ตะปู
กับเขา 1 ถุงและบอกเขาว่า ทุกครั้งที่ลูกรู้สึกไม่ดี โมโห หรือโกรธใคร
ก็ตาม ให้ตอกตะปู 1 ตัวลงไปที่รั้วหลังบ้านก็แล้วกัน วันแรกผ่านไป
เด็กน้อยตอกตะปูเข้าไปที่รั้วถึง 37 ตัว วันที่ 2 และ วันที่ 3 และแต่
ละวันที่ผ่านไป ผ่านไปจำนวนตะปูก็ค่อยๆลดลง ลดลงๆ เพราะเด็กน้อย
รู้สึกว่า การรู้จักควบคุมตัวเองให้สงบ ง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ


แล้ววันหนึ่ง หลังจากที่เขาสามารถ ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
ใจเย็นมากขึ้น เขาเดินไปหาพ่อเพื่อบอกว่า เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นที่
ต้องตอกตะปูอีกแล้ว เพราะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสามารถควบคุม
ตัวเองได้ดีขึ้น ไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนแล้ว

พ่อยิ้มแล้วบอกลูกชายว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ลองพิสูจน์
ให้พ่อดู ทุกๆครั้งที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองได้
ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้านที่ละ 1 ตัว วันแล้ววันเล่า เด็กชาย
ก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัว ๆ จนในที่สุด วันหนึ่งตะปูทั้งหมดก็ถูก
ถอนออกเด็กชายดีใจมากรีบวิ่งไปบอกพ่อของเขาว่า ผมทำได้แล้วครับ
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จ


พ่อไม่ได้พูดว่าอะไร แต่จูงมือลูกของเขาไปที่รั้วนั้น แล้วบอก
ลูกทำได้ดีมากทีนี้ลองมองกลับไปที่รั้วสิ เห็นมั๊ยว่ารั้วมันไม่เหมือนเดิม
มันไม่เหมือนกับที่มันเคยเป็นก่อนหน้านี้ ลูกจำไว้นะ ว่าเมื่อไหร่ที่เราทำ
อะไรลงไปด้วยการใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมักจะเกิดรอยแผล เหมือนกับการ
เอามีดไปกรีดหรือแทงใครเข้า ต่อให้ใช้คำว่า..ขอโทษ..สักกี่หน
ก็ไม่อาจจะลบรอยแผลหรือความเจ็บปวดที่เกิดกับเขาคนนั้นได้ ลูกจงจำ
คำว่า ..ขอโทษ..ไว้เสมอนะ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เรา หรือ ไม่ก็ตามนะ
จำไว้อีกด้วยว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับเขา
เขาอาจจะไม่มีวันลืมมันได้......ตลอดไป

สิ่งที่สำคัญคือ รู้ทันความโกรธให้เร็วที่สุด ทันทีที่สติรู้ทันว่า
เราปล่อยให้ความโกรธครอบงำ อย่างน้อยมันจะหยุดเพ่งโทษคนอื่น
วางความยึดมั่นว่าเราถูกลงเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสถานการณ์
ดีกว่าปล่อยให้ความยึดว่า ตัวเองถูกเสมอ หรือฐิทิมานะมาทำลาย
ทุกอย่างรวมทั้งชีวิตตัวเราเอง

ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดตัวเอง"


ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าความคิดตัวเอง"

ทุกวันนี้เราหลงทำงาน หาเงินเพื่อสนองกิเลสตัณหา ต้องทำงานไปจนแก่ น้อยคนนักที่มีโอกาสเกษียณก่อนกำหนด
ส่วนใหญ่มานึกได้อีกทีก็แก่เสียแล้ว เลยเพิ่งเข้าวัดทำบุญ ที่จริงไม่ต้องรอให้แก่

"หยุดคิด จึงคิดได้"

"เมื่อใดหยุดหา เืมื่อนั้นจะพบ"

สิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมากในหนังสือ"ขอบคุณสรรพสิ่ง"
"ปาฏิหารย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ

แต่ปาฏิหารย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว"
ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน

กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ... เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆมีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะ !

เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตายหรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ

เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที

และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด...
ให้เรารีบชื่นชมกับความ"ธรรมดา" ที่เรามี และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า

สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล

เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว


คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ


คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน...แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน

จงมองดูความวิตกกังวลของตนเอง มองดูว่ามันทำให้เราเอาชนะปัญหาของเรา


ยุ่งยาก กับ เยือกเย็น
ในยามที่เราพบกับความยุ่งยาก ต้องพึ่งพาความเยือกเย็น
ค่อย ๆ ย้อนลงไปแยกแยะสาเหตุแห่งปัญหา ที่ทำให้เราเร่าร้อน!
เราจะเอาชนะความยุ่งยากของชีวิตได้ ด้วยการเอาชนะความวิตกกังวล
ที่เกิดขึ้นในใจของเราเสียก่อน

จงมองดูความวิตกกังวลของตนเอง มองดูว่ามันทำให้เราเอาชนะปัญหาของเรา
หรือมันทำให้เราหมดพลัง และพ่ายแพ้
ปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความทุกข์ยากที่เราคิดว่ามันแสนสาหัส สำหรับเราในวันนี้ ในวันข้างหน้าเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย..

น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!


น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!
จิตที่..รู้เรื่องอะไร ? แล้วไม่ยอมปล่อย
ย่อม "ทุกข์" ฉันนั้น..

ธรรมแท้ ๆ ! เป็นกลาง ๆ ..
ใคร ? ปล่อยวางได้..ก็.."สบาย"
จงรักษาใจ..ให้เหมือน "นาฬิกา" ..
เพราะหน้าที่ของนาฬิกา...
คือ..การอยู่กับปัจจุบันขณะ..
ด้วยสัจจะ และความเที่ยงตรง..

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง








คำสอนหลวงพ่อชา สุภัทโท

โยม ไม้อันที่อาตมาถืออยู่นี่นะ มันสั้นหรือว่ามันยาว?

โยม ไม้อันนี้ธรรมชาติแท้ ๆ ของมันมีแค่นี้ เท่านี้ มันไม่สั้น และก็ไม่ยาว

โยม ความต้องการที่จะให้ไม้นี้มันสั้นเข้า หรือยาวออก นั่นแหละ ทุกข์


ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรายอมตามธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ ยอมที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดที่นั่น สมมุติว่าวันนี้ โยมหาเงินได้ ๑๐๐ บาท ธรรมชาติของมันแค่ ๑๐๐ บาท จะอยากให้ได้มากกว่านั้นก็ไม่ได้ จะอยากให้ได้น้อยกว่านั้นก็ไม่ได้ หาได้ ๕๐ บาท ธรรมชาติของเขาก็แค่นั้น หาไม่ได้เลย ธรรมชาติของมันก็เท่ากับหาไม่ได้เลย ยอมตามธรรมชาติที่มันเป็นทุกอย่าง ทุกแห่ง ทุกข์ก็ไม่เกิด ธรรมะอย่างนี้ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ ที่ไหน ทุกข์ก็ไม่เกิดเมื่อนั้น ที่นั่นโยม อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าถ้าเราจะปลูกต้นไม้ อันดับแรก เราต้องเตรียมดินให้ดี ขุดหลุมกว้างเมตร ลึกเมตร คลุกดินด้วยปุ๋ยคอกดย่างดี แล้วจึงปลูกต้นไม้ลงไป เมื่อปลูกแล้ว เราต้องคอยดูแล โดยหมั่นรดน้ำ พรวนดิน ดายหญ้า และล้อมรั้วกันอันตรายให้ หน้าที่ของเรามีเพียงแค่นี้ ทำให้ครบ ทำให้ดีที่สุด ส่วนผลที่ต้นไม้จะให้นั้น บางชนิด ๑ ปีให้ผล บางชนิด ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี นั่นเป็นเรื่องของเขา เป็นเรื่องของต้นไม้เขาเอง

โยม อย่าลืมนะ หน้าที่ของเรานั้น ทำเหตุให้ดีที่สุดเท่านั้น ส่วนผลที่จะได้รับเป็นเรื่องของเขา ถ้าเราดำเนินชีวิต โดยมีการปล่อยวางเช่นนี้แล้ว ทุกข์ก็ไม่รุมล้อมเรา ธรรมะอย่างนี้ใคร ๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้



วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง





กระจก.....ไม่เลือกที่จะสะท้อนภาพทุกชนิด ฉันใด

จิตใจ......จงเอาเยี่ยงอย่างกระจก

กระจก.....รับรู้ แต่ไม่ยึดถือยึดติดและครอบครอง

ดังนั้น......จึงไม่มีภาพใดใดหลงเหลือหรืออยู่ในกระจก

สายฝน.....ในกระจก หาเปียกกระจกไม่

เปลวไฟ.....ก็หาได้เผาลนกระจกเช่นกัน

ทั้งนี้.........เพราะกระจกไม่ ได้ให้อำนาจแก่สายฝน และเปลวไฟ

ดัง นั้น......จงทำใจของท่าน ให้เป็นดุจการรับรู้ของกระจก อย่ายึดติด เพราะถ้าหากจิตของท่าน หลงยึดถือยึดติด หรือตกเป็นทาสของกิเลสเมื่อใด ความทุกข์ ความเศร้าหมอง ความกังวล ความไม่สบายใจ ย่อมตามมาเมื่อนั้น

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

๖๐ ข้อคิดไว้สอนตัวเอง


๖๐ ข้อคิดไว้สอนตัวเอง
๑. ลูกจงจำไว้ว่า… การไม่ต่อสู้ในบางกรณี กลับเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ กว่าการต่อสู้ อย่างเอาเป็นเอาตาย
๒. ลูกจงอย่าเลือกของที่ชอบ ด้วยความอยากของลูก
แต่จงเลือกด้วยสติปัญญา และพิจารณาถึงประโยชน์ และโทษของมันเสียก่อน
๓ .ลูกจงอย่าโกรธคนไม่ดี ที่จริงเขาก็อยากดีเหมือนกัน แต่เขาไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นความดี…อะไรคือไม่ดี
๔. ลูกจะตำหนิ ติเตียนใคร ก็จงดูตนเองเสียก่อน อย่าให้เขาย้อนว่าเราได้
๕. ลูกจะเห็นว่า ผู้มีสัมมาคารวะ จะพบแต่ความเจริญ การอ่อนน้อม เป็นคุณสมบัติของสุภาพบุรุษ การยกมือไหว้ผู้อื่นได้ คือการทำลาย ตัวกู-ของกู
๖. ลูกพ่อต้องเป็นคนแข็งแรง…ไม่แข็งกระด้าง ลูกพ่อต้องเป็นคนเรียบง่าย…ไม่มักง่าย ลูกพ่อต้องเป็นคนอ่อนโยน..ไม่อ่อนแอ
๗.ลูกของพ่อ..คล่องแคล่วว่องไว เป็นปัจจัยแห่งความก้าวหน้าของครอบครัว
๘. เงินทองที่ลูกมี ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป ปัญญาที่ลูกหาได้ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน
๙. ถ้าลูกทำเด่น จะถูกคนเขาเขม่นและสมน้ำหน้า ลูกจะพลาดท่าลงมา..เพราะ ความอยากเด่นอยกดัง
๑๐. ลูกจงจำไว้ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย พ่อ แม่ สุขใจ เมื่อพี่น้องรักกัน
๑๑ ลูกจงโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างฉลาดและสุขุม การพ่ายแพ้ด้วยศิลปะ ดีกว่าการชนะด้วยอารมณ์
๑๒ .ความกล้าหาญต้องประกอบด้วยสติปัญญา ถ้าลูกกล้าโดยไม่มีสติปัญญา เขาเรียกว่าคนบ้าบิ่น
๑๓. ลูกต้องทำทุกอย่างด้วยความสุจริต เมื่อสุจริต จิตผ่องใส เมื่อทุจริต จิตหมองไหม้
๑๔. ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ที่พ่อแม่จะให้แก่ลูก
ความรู้และความประพฤติดีเท่านั้น ที่พ่อแม่ควรมอบให้แก่ลูก…อันเป็นที่รัก
๑๕. ลูกหลีกทางให้เขา ก็คือหลีกทางให้เราหลุดพ้นจากอันตราย
ในที่สุดก็จะได้รับผลดีด้วยกัน ทั้งเขาและเรา
๑๖. ปลายทางสุดท้ายของความไม่พอ คือ…ความทุกข์
๑๗ .ลูกจงจำไว้ว่า… ผู้ที่ไม่มีใครให้อภัยผู้อื่น
คือผู้อ่อนแอทางจิตใจ การให้อภัยศัตรู คือการ สร้างมิตร
๑๘ ถ้าผู้อื่นหลอกเรา เรารู้ง่ายและแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าเราหลอกตัวลูกเอง รู้ยาก แก้ไขได้ยาก
๑๙. ลูกควรจำสิ่งที่ควรจำ ลืมสิ่งที่ควรลืม ทำสิ่งที่ควรทำ
และต้องรู้ว่า สิ่งใดควรทำก่อน สิ่งใดควรทำทีหลัง
๒๐. เมื่อลูกสังเกตดู จะพบว่า ภายหลังเสียงหัวเราะ จะมีน้ำตา
ภายหลังเสียน้ำตา จะเห็นแสงธรรม คือความจริงของชีวิต
๒๑. หกล้มเพราะก้าวเดินไปข้างหน้า ยังดีกว่าลูกยืนเต๊ะท่าอยู่กับที่
เพราะถ้าลูกยืนไม่ดี…ก็จักมีคนมาถีบให้ล้มอยู่ดี
๒๒. .ลูกจงหาความสุขกับปัจจุบัน อย่าใฝ่ฝันถึงอนาคต อย่าหมกอยู่กับอดีต จะทุกข์
๒๓. โชค…เข้าข้างผู้ที่มีความอ่อนน้อมเสมอ ถ้าลูกเป็นผู้น้อยที่นอบน้อมผู้ใหญ่ ใคร ๆ ก็รัก ถ้าลูเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจผู้น้อย ผู้น้อยก็มีความภักดี
๒๔. ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง ขอให้ลูกคิดอยู่เสมอว่า
ถ้ามีสิ่งใดในโลก ที่ผู้อื่นทำได้ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่เราจะทำไม่ได้
๒๕. ความโศกเศร้าเสียใจ มิได้ทำให้ใครได้รับประโยชน์อะไร
นอกจากทำให้ศัตรูของเราดีใจและ สมน้ำหน้า
๒๖. เมื่อพบภัยที่อยู่ข้างหน้า จงหนีเข้าหาพระดีกว่าหนีเข้าหาโจร
ซึ่งโจรจักฉกฉวยโอกาสเอาจากเราเสมอ …อย่างคาดไม่ถึง
๒๗. คนเรามีความโลภทุกคน ถ้าโลภมาก…ก็จะทุกข์มาก
ถ้าโลภน้อย…ก็จะทุกข์น้อย ถ้าไม่โลภ…ก็จะไม่ทุกข์
๒๘ .ถ้าลูกประพฤติดี ลูกก็จะพบกับคนประพฤติถ้าลูกประพฤติชั่ว ลูกก็จะพบกับคนประพฤติชั่ว ขอให้ลูกเลือกคบให้ถูกต้องเถิด ลูกจักเป็นคนที่โชคดี
๒๙ ลูกอย่ากลัวไปเลยว่า จะได้แต่งงานกับคนไม่ดี
ถ้าลูกไม่สูบ ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยว ลูกก็จะพบคู่ครองที่ไม่สูบ
ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยวเช่นกัน
๓๐ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ต้องการคำอ่อนหวาน ลูกก็เช่นกัน ควรพูดคำอ่อนหวานแก่ผู้อื่น เมื่อลูกอ่อนหวานแก่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะอ่อนหวานกับลูก
๓๑. ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมตัว เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าเสียคน
ผิดอะไรก็ผิดได้ แต่อย่าผิดศีลธรรม
๓๒. ลูกจงจำไว้ว่า… ศัตรูวันนี้ อาจเป็นมิตรในวันหน้า
เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรเขารุนแรงและเกินเลย
๓๓. ลูกจงสนุกกับการใช้เงิน และพร้อมกันนั้น
ลูกต้องสนุกกับการเก็บรักษาเงินด้วย และยิ่งกว่านั้น
ต้องสนุกกับการหาเงินอย่างไม่เป็นทุกข์ คือหาด้วยความถูกต้อง
๓๔. การกระทำของลูก บางครั้งยังไม่ถูกใจตนเอง แล้วจะให้คนอื่นทำถูกใจเราเสมอไป ได้อย่างไร คิดแค่นี้ลูกก็จะไม่โกรธคนอื่น
๓๕ .ถ้าลูกกล้าอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นผู้ฉลาด ถ้าลูกกล้าอย่างบ้าบิ่น ก็จะเป็นคนโง่ ขอให้ลูกจงกล้าหาญอย่างชาญฉลาด
๓๖. บาปและบุญทั้งปวงที่ลูกกำลังทำในขณะนี้ สักวันหนึ่งจักรวมตัวกันมาสนองแก่ลูก สิ่งที่ลูกได้รับอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลจากการกระทำของลูกทั้งสิ้น
๓๗. ลูกจงจำไว้ว่า… ธรรมชาติไม่เคยให้อภัยใคร
ใครทำอย่างใด ต้องได้รับอย่างนั้น แต่ธรรมชาติก็ให้โอกาสทุกคนเสมอ
แต่คนเรา…โดยส่วนมาก ไม่ค่อยยอมรับโอกาสนั้น
๓๘ เมื่อมีปัญหา แก้ให้ถูกจุด จักพ้นทุกข์เร็ว อย่าเป็นเช่นคุณยายแก่ ๆ
มองหาเข็มที่เสาไฟ เพราะมีแสงสว่าง แต่หาเท่าใดก็ไม่พบ
เพราะเหตุว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เข็มหายในบ้าน แล้วมาหานอกบ้าน
เพียงเพราะในบ้านไม่มีแสงไฟฟ้า… น่าขันไหมล่ะ
๓๙. ลูกจงจำไว้ว่า คนเห็นแก่เงิน คบยาก คนเห็นแก่งาน คบง่าย คนเห็นแก่ผู้อื่น คบสบาย
๔๐. ถ้าลูกปราถนาให้ผู้อื่นรัก ลูกต้องทำตัวให้น่ารัก ลูกจึงจะเป็นที่รักของผู้อื่น
๔๑. ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม สำคัญที่สุด…ลูกอย่าข้ามตัวเอง
๔๒. ผู้กล้าหาญ คือผู้ที่สามารถบังคับตัวเองได้ ถ้าลูกจักปลูกต้นไม้ ต้องบำรุงราก
แต่ถ้าจะปลูกจิตใจ ต้องบำรุงด้วยศีล ด้วยธรรม
๔๓. ลูกเกิดเป็นคนแล้ว ต้องพยายามทำดีที่สุด เมื่อทำดีที่สุดแล้ว นอกนั้นแล้วแต่ฟ้าลิขิต
โบราณว่า ลิขิตเป็นของฟ้า ( ผลของการกระทำ ) ชะตาเป็นของคน ( การกระทำของตัวเอง )
๔๔. ลูกควรจะยอมผิดใจกับคนสุภาพชน แต่อย่าผิดใจกับคนพาล
จะเดือดร้อนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
๔๕. การไม่ระวังการใช้จ่าย เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจทำให้ล่มจมได้
ดังเช่นเรือมีรูรั่วเล็กๆ อาจทำให้เรือใหญ่จมได้
๔๖. โรคภัยทางร่างกาย จะเข้ามาทางปาก ภัยพิบัติ ก็จะออกจากปากของเราเช่นกัน
เมื่อลูกจะพูดสิ่งใด จงพิจารณาให้ดีๆ
๔๗. การโกรธ เป็นวิสัยของปุถุชน การให้อภัย เป็นวิสัยของบัณฑิต
ลูกพ่อจะเป็นบัณฑิต จึงต้องฝึกการให้อภัย ด้วยความมีเมตตาเพราะเมตตาแก้ความโกรธได้
๔๘. การเดินทางหมื่นลี้ต้องมีก้าวแรก ยามลูกมีอำนาจ จงอย่าเหลิงอำนาจ
ยามลูกมีความสุขก็อย่างหลงระเริง ระวังความทุกข์จักตามมา
๔๙. ถ้าลูกให้เงินเพื่อนยืม…ระวัง จะเสียเงิน…จะเสียเพื่อน…จะเสียใจ
เพราะฉะนั้นลูกอย่าให้เงินใครยืม ถ้ามีก็ให้เขาไปเลย
๕๐. ถ้าลูกระแวงสงสัยใครแล้ว ลูกอย่าทำธุรกิจร่วมกัน
เพราะจะมีแต่ระแวงกัน การงานไม่ราบรื่น ความทุกข์จะเข้ามาในจิตใจลูก
๕๑. เรือที่ออกทะเล ปฏิเสธคลื่นลมไม่ได้ ฉันใด
ชีวิตของลูก ปฏิเสธอุปสรรคไม่ได้ ฉันนั้น
๕๒. ลูกสังเกตดูจักรู้ว่า ผู้เป็นคนดี มักอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้โง่เขลามักหยิ่งยโส ทะนงตน คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด หรือยากให้คนอื่นรู้ว่าฉลาด
จึงโอ้อวด คุยเบ่ง ทับถมคนอื่น ส่วนคนฉลาดมักไม่อวดตัว จักเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยโส ไม่โอหัง และชอบประกาศความดีของผู้อื่น
๕๓. แมลงผึ้ง ชอบของหอมของหวาน แมลงวัน ชอบของเหม็นของเน่าเสีย
ถ้าลูกชอบสิ่งที่ไม่ดี คบคนไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ไปสู่สถานที่ไม่ดีแล้ว
ลูกก็จะเปรียบเช่นแมลงวัน ซึ่งไม่มีใครชอบหรืออยากจะให้ความรัก
แต่ถ้าลูกคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และไปแต่เฉพาะที่ดี ลูกก็เป็นเช่นแมลงผึ้ง
คนดีใคร ๆ ก็อยากคบด้วย ถ้าลูกเป็นแมลงผึ้ง ลูกก็จะได้พบกับดอกไม้ ถ้าลูกเป็นแมลงวัน ลูกก็จะได้พบกับของเน่าเหม็น คำโบราณว่าไว้ ขี้เกียจ เป็นแมลงวัน ขยัน เป็นแมงผึ้ง
๕๔. ผู้ที่รู้จักประมาณตน เป็นคนฉลาด ลูกควรใช้จ่ายตามฐานะ
ลูกจักไม่ขัดสนตลอดไป
๕๕. ถ้าลูกมีความพากเพียรและถ่อมตนแล้ว ภายใต้ท้องฟ้า…ลูกของพ่อจักทำได้ทุกสิ่ง
ธรรมะสอนไว้ว่า คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร

๕๖. ถ้าลูกทำงานด้วยความรีบร้อน ร้อนรน มักทำความผิดพลาด มาให้ลูกเสมอ
ลูกต้องทำด้วยความรวดเร็ว แบบมีสติ จึงจะประสบความสำเร็จได้
อย่างถูกต้องและราบรื่น
๕๗. การนินทาและว่าร้ายต่อผู้อื่น… มันเจ็บปวดมากว่ามีดที่กรีดเนื้อเขา
มากมายหลายเท่านัก เมื่อลูกเข้าใจอย่างนี้แล้ว อย่านินทา อย่าว่าร้ายผู้อื่นเลย
เพราะเมื่อเขาเจ็บปวดเพราะคำพูดของเราแล้ว เขาก็สามารถทำความผิดกับเราได้
เราก็เดือดร้อน
๕๘. คนขี้เกียจ มักอ้างว่า ยังไม่ต้องทำ เพราะเช้าไป เพราะเย็นไป
เพราะร้อนไป เพราะหนาวไป เพราะฝนตก เพราะแดดออก
ถ้าลูกอ้างอย่างนี้ จะทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ
๕๙. ในสมัยนี้ ใครก็ชอบแต่ของดี ๆ แต่ไม่รู้ว่า อย่างไรถึงจะดี
จึงขอเตือนว่า ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคิด ลูกต้องคิดแต่ดีดี
ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่พูด ลูกต้องพูดดีดี
ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่ทำ ลูกต้องทำดีดี ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคบคน ลูกต้องคบคบดีดี ลูกของพ่อ…ดีแต่จะไป ลูกต้องไปดีดี ลูกจง คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี
ไปสู่สถานที่ดีดี
๖๐. ถ้าลูกละเลยเรื่องเล็กน้อย กระทำผิดเพียงเล็กน้อยในปัจจุบัน
ลูกอาจต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวง ในภายหน้า คิดกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นคิดไม่ดีกับเรา ในวันหน้า ทำกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นกระทำต่อเราไม่ดี ในวันหน้า รังแกผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นรังแก ในวันหน้า โกงผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกง ในวันหน้า
โกหกผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกหกในวันหน้า
เหยียดหยามผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นเหยียดหยาม ในวันหน้า
โกรธผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่น ในวันหน้า ริษยา อาฆาตผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นริษยา อาฆาต ในวันหน้า ฆ่าผู้อื่น ในวันนี้
อาจถูกผู้อื่นฆ่า ในวันหน้า ในทางตรงกันข้าม… ถ้าลูกรักและเมตตาผู้อื่น ในวันนี้
ลูกก็จักได้รับความรักและเมตตา ในวันข้างหน้า

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน





๐ คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการได้ยิน...แต่มักมีปัญหาการฟังให้เข้าใจ
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน...แต่มักมีปัญหาเรื่องการรู้ให้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเรื่องการเปล่งเสียง...แต่มักมีปัญหาเรื่องการพูดให้เข้าหูคน


๐ จงรักษาใจ..ให้เหมือน "นาฬิกา" ..
เพราะหน้าที่ของนาฬิกา...
คือ..การอยู่กับปัจจุบันขณะ..
ด้วยสัจจะ และความเที่ยงตรง..


๐ ๑ ปี เอาเหล็กมาขัดสนิมหนึ่งครั้ง ซ้ำยังไม่ขัดถึงที่สุด..
ไม่ทำถึงจุดที่จะไม่เกิดสนิมสืบต่อไป เหล็กจะวาวขึ้นมาได้อย่างไร??
การขัดเกลาตนของนักปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน..
และสนิมเหล็กเกิดจากเนื้อในเหล็ก กัดกร่อนทำลายเหล็ก ฉันใด..
สนิมใจเกิดจากเนื้อในใจ กัดกร่อนทำลายใจ ฉันนั้น..

๐ ธรรมแท้ ๆ ! เป็นกลาง ๆ ..
ใคร ? ปล่อยวางได้..ก็.."สบาย"


๐ ธรรมแท้ ๆ ! ไม่มี..สู้!..ไม่มี..หนี!! ;
เพียงแต่..ดู-รู้-ตรง "ปัจจุบัน" นี้
แล้วก็..ปล่อยไป..เท่านั้นเอง!


๐ น้ำไม่ไหล! ขังไว้..ย่อม..เน่า ฉันใด!
จิตที่..รู้เรื่องอะไร ? แล้วไม่ยอมปล่อย
ย่อม "ทุกข์" ฉันนั้น..


๐ "การละบาป เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการทำบุญ
ถ้าทำบาปแลกบุญจะขาดทุนเรื่อยไป"


๐ "ใจจะสงบได้ ก็เพราะความเห็นที่ถูกต้อง"


๐ ยุ่งยาก กับ เยือกเย็น
ในยามที่เราพบกับความยุ่งยาก ต้องพึ่งพาความเยือกเย็น
ค่อย ๆ ย้อนลงไปแยกแยะสาเหตุแห่งปัญหา ที่ทำให้เราเร่าร้อน!
เราจะเอาชนะความยุ่งยากของชีวิตได้ ด้วยการเอาชนะความวิตกกังวล

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถือศีลกินเจ


คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ



"การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน

จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่างๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุกๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

3.กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้..........


........ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้..........
.......อาจจะมีคนชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........
...............แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............
.............. มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100...........

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป


สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความส ุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

อีเมล์ยอดนิยมของผู้หญิงในรอบปี


A man was sick and tired of going to work every day while his wife stayed home...
ชายคนหนึ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายต่อการที่ต้องไปทำงานทุกวันในขณะที่ภรรยาของเขาได้อยู่บ้าน
He wanted her to see what he went through so he prayed:
เขาต้องการให้ภรรยารับรู้สิ่งที่เขาเจอะเจอจึงได้อธิษฐานว่า
'Dear Lord:
โอ้ พระผู้เป็นเจ้า
I go to work every day and put in 8 hours while my wife merely stays at home.
ผมไปทำงานทุกวัน ๆ ละ 8 ชม ในขณะที่ภรรยาผมได้อยู่บ้านอย่างสุขสบาย
I want her to know what I go through.
ผมต้องการให้หล่อนได้รับรู้ว่าผมต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
So, please allow her body to switch with mine for a day.
Amen!'
ขอพระองค์ได้โปรดอนุญาตให้ร่างกายของหล่อนสลับร่างกับของผมสักวันหนึ่งเถิด เอเมน
God, in his infinite wisdom, granted the man's wish.
พระองค์ผู้มีพระปัญญาเป็นเลิศได้อนุมัติตามที่ชายคนนั้นมีความประสงค์
The next morning, sure enough, the man awoke as a woman...
อย่างแน่นอนที่สุด เช้าวันต่อมา ชายคนนั้นตื่นขึ้นมาในสภาพผู้หญิง
He arose, cooked breakfast for his mate,
เขาลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าให้คู่ชีวิตของเขา
Awakened the kids,
ปลุกลูก ๆ
Set out their school clothes,
จัดเตรียมชุดนักเรียน
Fed them breakfast,
ป้อนอาหารเช้า
Packed their lunches,
ห่อข้าวกลางวัน
Drove them to school,
ขับรถไปส่งที่โรงเรียน
Came home and picked up the dry cleaning,
กลับมาบ้านและเอาเสื้อผ้าที่จะส่งซักแห้ง
Took it to the cleaners
จัดส่งไปที่ร้านซักผ้า
Went grocery shopping,
ไปร้านขายของชำ
Then drove home to put away the groceries.
ขับรถเอาของชำที่ซื้อมาไปเก็บที่บ้าน
He cleaned the cat's litter box and bathed the dog.
เขาล้างกล่องใส่อาหารแมวและอาบน้ำสุนัข
Then, it was already 1P.M.
กระทั่งเสร็จก็ปาเข้าบ่ายโมงแล้ว
And he hurried to make the beds, Do the laundry, vacuum, Dust, sweep and mop the kitchen floor.
และเขาต้องรีบจัดเตียง ซักผ้า ดูดฝุ่น กวาดและถูกพื้นห้องครัว
Ran to the school to pick up the kids and got into an argument with them on the way home.
รีบบึ่งไปโรงเรียนรับลูกและโต้เถียงกับพวกเขาระหว่างทางกลับบ้าน
Set out milk and cookies and got the kids organized to do their homework.
เตรียมนมและคุ้กกี้ และจัดการให้เด็ก ๆ ทำการบ้าน
Then, set up the ironing board and watched TV while he did the ironing.
ตั้งโต๊ะรีดผ้าและดูทีวีขณะที่เขากำลังรีดผ้า
At 4:30 he began peeling potatoes and washing vegetables for salad, breaded the pork chops and snapped fresh beans for supper.
16.30 น เขาเริ่มปอกมันฝรั่งและล้างผักทำสลัด เตรียมเนื้อสัตว์และถั่วสำหรับอาหารค่ำ

After supper, he cleaned the kitchen, ran the dishwasher, folded laundry, bathed the kids, and put them to bed.
At 09 P.M.
หลังอาหารค่ำ เขาล้างครัว เปิดเครื่องล้างจาน พับเสื้อผ้า อาบน้ำลูก ๆ และส่งพวกเขาเข้านอน
He was exhausted and, though his daily chores weren't finished, he went to bed where he was expected to make love, which he managed to get through without complaint.
เขารู้สึกอ่อนเพลียและแม้กระนั้นงานบ้านประจำวันก็ยังไม่เสร็จ เขาจึงเข้านอน(ขอไม่แปลต่อนะคะเพราะไม่เหมาะสำหรับเด็ก)
The next morning, he awoke and immediately knelt by the bed and said: - ‘Lord, I don't know what I was thinking. I was so wrong to envy my wife's being able to stay home all day.
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นและคุกเข่าข้างเตียงในทันที และกล่าวว่าโอ้พระเจ้า ผมไม่รู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเข้าใจผิดมากมายที่อิจฉาภรรยาของผมที่หล่อนสามารถอยู่บ้านได้ทั้งวัน
Please, oh! Oh! Please, let us trade back. Amen!'
ได้โปรดเถิด ได้โปรดให้เราได้กลับสู่สภาพเดิมด้วยเถิด เอเมน
The Lord, in his infinite wisdom, replied:
พระองค์ผู้มีพระปัญญาล้ำเลิศกล่าวตอบว่า
'My son, I feel you have learned your lesson and I will be happy to change things back to the way they were.
ลูกของเรา เรารู้สึกว่าเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนของเจ้าและเราก็ยินดีที่จะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้กลับสู่สภาพเดิม
You'll just have to wait nine months, though.
แม้กระนั้น เจ้าจะต้องรออีก 9 เดือน
You got pregnant last night.'
เจ้าตั้งครรภ์เมื่อคืนนี้

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

Nice to read

ความสุขที่ถูกมองข้าม
(พระไพศาล วิสาโล)



คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร
ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะ
ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมาก
ขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกัน
ผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ
เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์
หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า
"ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ" ลึกลงไปกว่านั้นเขายัง
รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า "ผมจะมี
ความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง"
เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ใน
ที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น


ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐี
แสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุข
เพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะ
ชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่
อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อย
ได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์
จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาด
นั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถาม
ตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่
แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มี
อยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่
มีอยู่แล้วนับร้อยคู่
แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ใน
ทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น
บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัว
หลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้


อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุข
ได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้
จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้ว
นับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่
ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึก
ปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่า
ความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรา
มักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน
แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา
จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่
เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไป
คาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและ
คาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่า
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับ


ของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็
น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็
กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึง
ต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่า
เดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่า
ชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหา
เงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่
ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมา
แย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึก
คุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อัน
ไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับ
การตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว
มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี



ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะ
ยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่ง
ที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมอง
ออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หา
ไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่
ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับ
การชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึง
เป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจ
ในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย
เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนัง
โฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ "ขาดทุน" สองสถาน คือนอกจากจะไม่
มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก
พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์
เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธา
หรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำ
ได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้าม


สะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็
คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่า
ชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึง
คายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือ
เมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบ
อยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว
เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามี
ความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรา
มีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ
ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุข
ให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และ
จัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหา
ความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหา
ความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับ
ความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และ
สุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย


จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้
และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่าง
แท้จริง



พระไพศาล วิสาโล

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก




อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
หลวงพ่อ ( พระโพธิญาณเถร) บอกว่า
"ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"
คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 %
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ

ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก
รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ ..... ไม่แน่
อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า ..... สักแต่ว่า ..... ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา ..... นั่นแหละ

เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

ระวังนะ
พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์
อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

ดูใจเรานั่นแหละ
พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัด -ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง
ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข

ทุก ๆ อย่างย่อมมีสองด้านเสมอ


ทุก ๆ อย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ต่างคนต่างความคิด ต่างจิตต่างใจ คนเรา...มักมองอะไรอยู่ด้านเดียว เห็นเพียงทุกข์และความไม่พอใจที่อยู่ตรงหน้าตนเท่านั้น เอาอารมณ์ไปผูกติดกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ หากเรามองอะไรเพียงด้านเดียว จะไม่มีวันพบกับคำว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้... เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ย่อมมีสองด้านเสมอ ด้านมืดด้านสว่าง ด้านบวกด้านลบ แล้วแต่เราจะมองในด้านไหน เพียงเราทำความเข้าใจมัน มองทุกอย่างตามหลักความเป็นจริง ดั่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่กับสองด้านของชีวิตอย่างมีความสุข.

ครองตน ครองคน ครองงาน


ครองตน
ชีวิตรอความตาย เวลาที่เหลือช่วยคนให้พ้นทุกข์มากที่สุด จวบจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

ครองคน
เคารพสมมุติบัญญัติ ไม่ทำตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน

ครองงาน
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีความชั่วของคน ทำในปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นผลของมันเอง

ธรรมะ
จิต ต้องหลุดพ้นออกมาจากสภาวะปรุงแต่งเสียก่อน จึงจะรู้ธรรมะได้ เมื่อรู้ธรรมะแล้วก็จะเข้าใจในความหมายของพระนิพพานได้แจ่มแจ้ง ไม่ต้องเชื่อใครอีกต่อไป ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่แท้จริงของเราก็คือ ตัวเราเองมิใช่ใครอื่น


ถ้าความรัก..ทำให้เราร้องไห้




ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีค่ามาก สำหรับคนบางคน
โดยเฉพาะคนที่มีเวลาดีๆ ที่ใช้กับคนรัก
ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนหวงแหน
ต้องระลึกไว้ในความทรงจำ ต้องถนอมดูแลให้ดี

หลายคนจึงไม่อาจตัดใจจากวันเก่าๆ ได้เสียที
เพราะว่ามีความสุขกับการได้คิดถึงอะไรดีๆ ที่ผ่านไป
โดยลืมนึกไปว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว จะไม่มีวันย้อนกลับคืนมาได้อีก
หากจะต้องตัดใจลืม หรือเดินจากอดีตมาก็ไม่ได้อีก
เพราะเหตุผลที่ว่า "เสียดายเวลา" ที่คบกันมา

บางคนคบกันมานาน จนแทบจำไม่ได้ว่า . . .
เคยยิ้มให้กับความรักครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
เพราะหลังๆ มาก็อยู่แต่กับความทุกข์
จนนึกภาพความสุขไม่ออก

แต่ที่ไม่กล้าเลิกเพราะยังคิดถึงวันเก่าๆ
แค่เสียดายเวลา ที่คบกันมาเนิ่นนาน
โดยไม่คิดเลยว่า ทุกๆ วันของวันนี้ พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป
ก็จะกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ ที่น่าเสียดาย
และ . . . เวลาที่น่าเสียดายก็จะเพิ่มขึ้นๆ

จริงๆ แล้ว วันคืนในอดีต
ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับเราเลย
นอกจากมีไว้ให้นึกถึง
อาจจะทำให้เรายิ้มได้บ้าง แต่ทำให้เราคาดหวังไม่ได้

เราจะไปหวังว่าวันหนึ่ง วันเหล่านั้นจะกลับา
หรือจะไปเฝ้าฝันว่าความสุขเหล่านั้นยังคงเป็นปัจจุบัน
หรือหลอกตัวเองว่าตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม
จะยังไงก็แล้วแต่คือการหลอกตัวเองทั้งนั้น

ยอมรับเถอะว่าทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว และจบไปแล้ว
ความทรงจำเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ 1 ปี 5 ปี หรือกี่สิบปี
ก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่า . . .
หนึ่งวันข้างหน้าที่เราจะต้องมีชีวิตใหม่
ที่เราจะต้องเริ่มต้นใหม่

เมื่อคนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน
เพื่อที่จะสร้างอนาคตให้ตัวเองได้อยู่ในอนาคตที่ดี
เวลา 10 ปี กับวันคืนที่เคยหวานชื่น
ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่า 1 วันแห่งการเริ่มต้น
1 วันแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตของเราทั้งชีวิตให้ดีกว่าที่เป็น


"หากจะเสียดายเวลาน่ะ ไม่ต้องเสียดายเวลาที่คบกันมาหรอก
ให้เสียดายเวลาในวันข้างหน้า
ที่จะอดทนคบไปทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วจะดีกว่า
แล้วยังจะมาเสียดายอดีต . . .
นึกดูดีๆ ว่าเสียดายอนาคตดีกว่าไหม?"

"พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"


A lecturer was giving a lecture to his student on stress management.
ขณะที่ครูกำลังสอนนักเรียนของเขาในหัวข้อการจัดการกับแรงกดดันและความเครียด

He raised a glass of water and asked the audience, "How heavy do you think this glass of water is?"
ครูได้หยิบแก้วน้ำใบหนึ่งขึ้นมาและถามนักเรียนว่า
"พวกเธอคิดว่าแก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไหร่"

The students' answers ranged from 20g to 500gm.
คำตอบของนักเรียนมีตั้งแต่ 20 กรัมถึง 500 กรัม

"It does not matter on the absolute weight. It depends on how long you hold it. "
มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่แท้จริงของแก้วว่าหนักเท่าไหร่
แต่ขึ้นอยู่กับว่าเธอถือมันไว้นานเท่าใด

If I hold it for a minute, it is OK.
ถ้าครูถือมันไว้เพียงหนึ่งนาที ก็ไม่มีปัญหาอะไร

If I hold it for an hour, I will have an ache in my right arm.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งชั่วโมง แขนของครูก็จะปวด

If I hold it for a day, you will have to call an ambulance.
ถ้าครูถือมันไว้หนึ่งวัน พวกเธอคงต้องเรียกรถพยาบาล ฮา...

It is the exact same weight, but the longer I hold it, the heavier it becomes."
แม้ที่จริงจะเป็นน้ำหนักเดียวกัน แต่ยิ่งฉันถือมันไว้นานเท่าไหร่
มันก็ยิ่งหนักมากขึ้นเท่านั้น"

"If we carry our burdens all the time, sooner or later, we will not be
able to carry on, the burden becoming increasingly heavier."
ถ้าเราแบกภาระ(ความทุกข์ ความหนักใจ ฯลฯ) ของเราไว้ตลอดเวลา ไม่ช้าก็เร็ว
ภาระนั้นจะยิ่งหนักขึ้นจนเราจะไม่สามารถจะแบกมันไว้ได้อีก

"What you have to do is to put the glass down, rest for a while before holding it up again."
ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องทำคือ วางแก้วนั้นลงซะ พักสักระยะ ก่อนจะถือมันใหม่อีกครั้ง

We have to put down the burden periodically, so that we can be refreshed
and are able to carry on.
เราจะต้องวางสิ่งเราแบกไว้ลงเป็นระยะ
เราจึงจะสามารถฟื้นพลังขึ้นมาใหม่ และสามารถแบกมันได้อีกครั้ง

So before you return home from work tonight, put the burden of work down.
ดังนั้นก่อนเธอจะกลับบ้านในคืนนี้ จงวางภาระของเธอลง

Don't carry it back home. You can pick it up tomorrow.
อย่านำมันกลับไปบ้านด้วย เธอสามารถยกมันขึ้นมาใหม่ได้ในวันพรุ่งนี้

Whatever burdens you are having now on your shoulders, let it down for a moment if you can.
ไม่ว่าจะเป็นภาระใดก็ตามที่เธอแบกอยู่ในตอนนี้ วางมันลงซะสักพัก ถ้าเธอทำได้

Pick it up again later when you have rested...
ค่อยยกมันขึ้นมาใหม่เมื่อเธอได้พักแล้ว

Rest and relax.
ขอให้ผ่อนคลายและพักผ่อน

Life is short, enjoy it!!
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุขกับมัน


โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก


1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข เมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด ดังที่ท่านว่าไว้ในหนังสือว่า "โลกเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าเราใส่แว่นตาสีอะไรมองโลก หากมองโลกในแง่ดี ชีวิตมีแต่สิ่งรื่นรมย์ หากมองโลกในแง่ร้าย ชีวิตมีแต่ความวุ่นวายและทุกข์ระทม"

บางครั้ง


บางครั้ง ...สิ่งที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่เราคิดว่าไว้ใจได้มากที่สุด แต่กลับทำลายเราได้มากที่สุด

บางครั้ง ...สิ่งที่คิดว่าทำลายเรามากที่สุด กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เราไว้ใจได้มากที่สุด


- - - - - - - - -


บางครั้ง ...สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ สิ่งที่ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

บางครั้ง ...สิ่งที่คิดว่าง่ายที่สุด แต่มันอาจจะยาก จนเราทำใจลำบาก

บางครั้ง ...เราอยู่ในโลกแคบจนลืมมองถึงโลกกว้าง

บางครั้ง ...ปัญหาแค่ปลายนิ้วก้อย แต่กลับทำให้มันเป็นฝ่ามือ

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ


โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย

อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา

พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง

อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้

ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง



เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน


เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป

เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

ความคิดแบบ "ขยะ"


อาตมาว่า ความคิดส่วนใหญ่ของพวกเราที่เกิดขึ้นขอโทษทีเถิดนะ... ยังเป็น
ความคิดที่เรียกว่า ความคิดแบบ "ขยะ"เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปด้วยกิเลสต่าง ๆ
ไม่มีแก่นสารสาระ

เรารู้จักคิดได้ เราก็ต้องรู้จักระงับความคิดได้นะ อย่าให้มันมาเป็นนายเรา
บางคนทำงานมาทั้งวัน เลิกงานแล้ว แต่ใจก็ยังไม่ยอมวางงานกลับมาบ้านก็ยังเก็บ
มานั่งคิดนอนคิดต่ออยู่อีกไม่รู้จบ เลิกงานแล้ว เราก็ควรต้องเลิกคิดเรื่องงานได้
มีอะไรพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่ คิดกันใหม่ต่อวันรุ่งขึ้น


ต้นไม้กับไม้ขีดไฟ


ทุกๆอย่างในโลก มีแง่มุมมากมายให้ค้นหา
ของสิ่งเดียวกันสามารถให้ทั้งประโยชน์และโทษ
ขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นผู้ใช้...และใช้อย่างไร
หลายครั้งที่เราพบว่า
ขณะที่เรากำลัง ส ร้า ง อะไรสักอย่างอยู่นั้น
กลับเป็นการ ทำ ลา ย อะไรอีกหลายอย่าง

ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ โดยไม่ต้องเอาอะไรไปแลก
บางครั้งก็คุ้มค่า...กับการยอมเสียอะไรสักอย่าง
เพื่อจะได้อะไรอีกอย่างกลับมา
แต่ก็มีหลายครั้ง...ที่ลืมนึกไปว่า
ของที่ได้กลับมาไม่คุ้มค่าเท่ากับของที่เสียไป"


ขณะที่เราเดินเที่ยวอยู่ในศูนย์การค้า
เราก็จะเสียเวลาที่จะได้อ่านหนังสือเล่มโปรดที่อ่านค้างไว้
เด็กวัยรุ่นที่นั่งพับนก จะต้องฉีกกระดาษนับร้อยชิ้น
ศิลปินที่โด่งดังบนเวที...กำลังทิ้งคนที่รักไว้ที่บ้าน
ไม่มีใครบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับวันพรุ่งนี้
เป็นคำถามที่ไม่ต้องตอบก็ได้...แค่เอาไว้นึกดูเล่นๆ

ถ้ารู้ว่าวันหนึ่งหนังสือเล่มโปรดเล่มนั้นจะหายไป
เราจะไปศูนย์การค้าอยู่ไหม
ถ้าต้องเขียนจดหมายสำคัยให้กับใครสักคน
เราจะฉีกระดาษเพื่อพับนกหรือเปล่า
ถ้าคืนหนึ่งกลับมาบ้านแล้วพบว่า
คนที่เรารัก...ไม่ได้อยู่เพื่อให้เรารักอีกต่อไป
เรายังจะออกจากบ้านไปอยู่ไหม
ความสำคัญและความจำเป็นของคนไม่เท่ากันก็จริง
แต่การเสียไปเพื่อได้มานั้น
จะต้องอยู่บนความรอบคอบ
และคิดมาอย่างดีแล้วทั้งสองด้าน



ต้นไม้ต้นหนึ่งอาจสร้างไม้ขีดได้นับร้อยล้านก้าน
แต่ไม้ขีดก้านเดียว
อาจทำลายต้นไม้นับร้อยล้านต้น

ไม่มีใครคิดแทนใครได้
จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า...
เราควรเสียอะไรไป เพื่อได้อะไรมา
และเราควรเป็น ต้นไม้ หรือ ไม้ขีดไฟ

ที่มา...Yenta4.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มีความสุขจากการได้มา


คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่า
ความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรา
มักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
หมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับ
ของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็
น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็
กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป
ผลก็คือกลับมารู้สึก "เฉย ๆ" เหมือนเดิม และดังนั้นจึง
ต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่า
เดิม
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะ
ยุ่งยากน้อยลง
ความสุขจากการ ไม่มี
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุ
นั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้
และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่าง
แท้จริง
พระไพศาล วิสาโล